วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ซันคลาร่า

ซันคลาร่า


ซันคลาร่า
ชื่อสินค้า : ซันคลาร่า


รายละเอียด : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ช่วยลดสิว กระฝ้า ริ้วรอยด่างดำ ช่วยกระชับมดลูกและเพิ่มความขาวใสและความเต่งตึงแก่ผิว ผลิตภัณฑ์ ซัน คลาร่า ช่วยให้ผิวสวย หน้าใส ภายในกระชับ ดับกลิ่น


ซันคลาร่า ปลอดภัย หายห่วง ไม่มีผลข้างเคียง 100 %
ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่
เลขที่ อย. 13-1-06950-1-0015

ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล ต่อ 1 กล่อง
ราคาขาย 1,100.00 บาท
ราคาพิเศษ 540.00 บาท
ประหยัด
560.00 บาท
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคลาร่า อาหารเสริม สำหรับผู้หญิง ประกอบ ด้วยสารอาหารที่ออกฤทธิ์ กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศ จึงมีผลทำให้ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อที่ควบคุมระบบการทำงานของร่างกายเกิดความ สมดุล
วิธีการรับประทาน รับประทานครั้งละ1 แคปซูล ก่อนนอน น้ำหนักเกิน 55 กก. 2 แคปซูล ก่อนนอน ขนาดบรรจุ ใน 1 กล่องประกอบด้วย ซันคลาร่าจำนวน 2 แผง แผงละ 15 แคปซูล บรรจุชีลล์อย่างดี อย.เลขที่ 13-1-06950-1-0015
ส่วนประกอบสำคัญ โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง34.67% สารสกัดจากทับทิม 15.00%คอลลาเจนจากปลา 13.67% สารสกัดจากเปลือกสน 8.83% Alpha Lipoic Acid 6.16% สารสกัดจากชาเขียว 5.00% แคปซูล16.67% สารอาหารเหล่านี้ออกฤทธิ์ กระตุ้นการ สร้างฮอร์โมนเพศ ควบคุมฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อที่ควบคุมระบบการทำงานทุกส่วนของร่างกาย



ส่วนประกอบที่สำคัญ มีประโยชน์ ดังนี้
โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง มีฤทธิ์แก้ปวดประจำเดือน ช่วยให้รอบเดือนปกติ ลด อาการสวิงสวายในสตรีวัยทอง,รักษาระดับน้ำตาล, แก้อาการตะคริวที่กล้ามเนื้อขา, ทำให้ช่องคลอดมีน้ำเมือกหล่อลื่น,เสริมโครงสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อคอลลา เจน สารสกัดจากทับทิม มีสิทธิภาพในการป้องกันอนุมูลอิสระสูง, ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ทำใหเกิดความสปริงตัวของผิวหนัง ให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน กระชับ
สารสกัดจากเปลือกสน ช่วยให้ผนังเส้นเลือดโดยเฉพาะเส้นเลือดดำ(Veins)มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น
กรดอัลฟ่าไลโปอิค
เป็น สารจำเป็นของร่างกาย สำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระ เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปกรดนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูต้าไธโอน ทำให้ร่างกายสามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระทำให้ผิวขาวสว่างขึ้นด้วย สารสกัดจากชาเขียว ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, ป้องกันเบาหวาน, ช่วยให้น้ำหนักลดลง, ป้องกันความผิดปกติของผิวหนัง, ป้องกันโรคParkinsonและAlzheimer
คำเตือน

** เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน รวมทั้งสตรีที่ยังไม่มีประจำเดือน ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ

ซันคลาล่า

ซันคลาร่า


ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่
ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100



ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่

ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่

ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่

ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่

ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100 - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่

ซันคลาร่า sunclara ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคาร่า ราคาปลีกและราคาสมาชิก จากรายการTV ของแท้ 100

รหัสสินค้า: 000001
ปกติ 1,100.00 บาท
ราคาพิเศษ 540.00 บาท

ประหยัด 560.00 บาท
รายละเอียด: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคลาร่า อาหารเสริม สำหรับผู้หญิง ประกอบ ด้วยสารอาหารที่ออกฤทธิ์ กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศ จึงมีผลทำให้ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อที่ควบคุมระบบการทำงานของร่างกายเกิดความ สมดุล
วิธีการรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล ก่อนนอน น้ำ้หนักเกิน 55 กก. 2 แคปซูล ก่อนนอน ขนาดบรรจุ ใน 1 กล่องประกอบด้วย ซันคลาร่าจำนวน 2 แผง แผงละ 15 แคปซูล บรรจุชีลล์อย่างดี อย.เลขที่ 13-1-06950-1-0015
ส่วนประกอบสำคัญ โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง 34.67% สารสกัดจากทับทิม 15.00%คอลลาเจนจากปลา 13.67% สารสกัดจากเปลือกสน 8.83% Alpha Lipoic Acid 6.16% สารสกัดจากชาเขียว 5.00% แคปซูล16.67% สารอาหารเหล่านี้ออกฤทธิ์ กระตุ้นการ สร้างฮอร์โมนเพศ ควบคุมฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ ที่ควบคุมระบบการทำงานทุกส่วนของร่างกาย

ส่วนประกอบที่สำคัญ มีประโยชน์ ดังนี้
โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง มีฤทธิ์แก้ปวดประจำเดือน ช่วยให้รอบเดือนปกติ ลด อาการสวิงสวายในสตรีวัยทอง,รักษาระดับน้ำตาล, แก้อาการตะคริวที่กล้ามเนื้อขา, ทำให้ช่องคลอดมีน้ำเมือกหล่อลื่น,เสริมโครงสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อคอลลา เจน
สารสกัดจากทับทิม มีสิทธิภาพในการป้องกันอนุมูลอิสระสูง, ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ทำใหเกิดความสปริงตัวของผิวหนัง ให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน กระชับ

สารสกัดจากเปลือกสน ช่วยให้ผนังเส้นเลือดโดยเฉพาะเส้นเลือดดำ(Veins)มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น
กรดอัลฟ่าไลโปอิค เป็น สารจำเป็นของร่างกาย สำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระ เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปกรดนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูต้าไธโอน ทำให้ร่างกายสามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระทำให้ผิวขาวสว่างขึ้นด้วย
สารสกัดจากชาเขียว ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, ป้องกันเบาหวาน, ช่วยให้น้ำหนักลดลง, ป้องกันความผิดปกติของผิวหนัง, ป้องกันโรคParkinsonและAlzheimer

อย่าปล่อยปัญหาของคุณไว้นาน อาจสายเกินแก้ ให้ซันคลาร่าช่วยคุณ
ปัญหา 15 ข้อ ที่ผู้หญิง ต้องรีบแก้

1.หน้าท้องกลม(คล้ายคนตั้งท้อง)
2.ปวดท้องประจำเดือนเลือดออกเป็นลิ่ม
3.มีกลิ่นภายใน ติดเชื้อง่าย คันช่องคลอด
4.มีระดูขาวตลอดเดือน
5.ช่องคลอดขยายตัวออก (หลวม ไม่ฟิต ไม่เร้าใจสามี)
6.ปากมดลูกต่ำ มีเพศสัมพันธ์เจ็บ
7.เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก ซีด ผังผืด เนื้องอก
8.มีลมเข้าออกช่องคลอด (ผายลมผิดที่)
9.กล้ามเนื้อหย่อน แก้ม หน้าอกถุงใต้ตา (แก่ก่อนวัย วัยทอง)
10.หูรูดหย่อน อั้นปัสสาวะไม่อยู่
11.เบ่งปัสสาวะไม่ออก ปากมดลูกไหลมาปิด
12.ติดลูกยาก แท้งลูกง่าย
13.ประจำเดือนไม่ปกติ
14.ผิวสาก ไม่ลื่น ไม่แวว เป็นสิวอักเสบเรื้อรัง ฝ้า กระ
15.ไม่มีสาบสาว ไม่มีสเน่ห์ (วัยทอง ผู้หญิงที่ตัดมดลูกทิ้ง)
ปัญหา 15 ข้อ สัญญาณเตือน สู่ มะเร็งปากมดลูก ตัดปัญหาก่อนลุกลาม

YouTube Video

YouTube Video










วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีการชำระเงิน

                    วิธีการชำระเงิน



สามารถโอนเงินผ่านธนาคารหรือตู้ ATM มาที่

ธนาคาร ชื่อบัญชี   เลขที่บัญชี    ประเภทบัญชี


ไทยพาณิชย์     กัญชลิกา โคตะขุน     401-4490-241            ออมทรัพย์
กรุงเทพ          กัญชลิกา โคตะขุน      641-0133-752            ออมทรัพย์

กสิกรไทย        กัญชลิกา โคตะขุน     758-2567-233             ออมทรัพย์



เมื่อลูกค้าโอนเงินเรียบร้อยแล้ว สามารถแจ้งการชำระเงินโดยผ่านทาง



ทางโทรศัพท์ 083-977-8111 ตั้งแต่เวลา 07.00 ถึง 21.00 น.


** กรุณาเก็บหลักฐานการโอนเงินไว้ **


















.




วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้ำคลอโรฟิลล์

            น้ำคลอโรฟิลล์

ประโยชน์ของน้ำคลอโรฟิลล์
น้ำคลอโรฟิลล์ เป็นเครื่องดื่มสีเขียวเพื่อสุขภาพ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกผลิตจากสหรัฐอเมริกา มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน....

คลอโรฟิลล์ คือโลหิตของพืช มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสาร ต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกายของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกบิลในเม็ดเลือด คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟ่า (Alfalfa)

ประโยชน์ คือ ช่วยในการชำระล้าง ขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย / รักษาสมดุล/ บำรุงรักษา คือเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดง ช่วยเสริมบำรุงสุขภาพได้ดีขึ้น

1.ระบบเลือด บำรุงเลือด ล้างพิษ ทำลายอนุมูลอิสระ ในเม็ดเลือด แก้โรคโลหิตจาง และลดความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีอันตรายกับผู้ที่มีความดันเลือด ปกติ

2.ระบบทางเดินอาหาร คลอโรฟิลล์ล้างพิษโดยตรงในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก สมานแผลในกระเพาะอาการกระตุ้นเนื้อเยื่อให้ฟื้นตัว

3.บำรุงปาก ฟัน ระงับกลิ่นปาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการโรค เหงือก อักเสบ

4. รักษาแผลต่าง ๆ คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ ฟื้นฟู เนื้อเยื่อ ของแผลทุกชนิดทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทั้งแผลเรื้อรัง แผลเป็นหนอง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลหายช้าหรือหายยากเช่นโรคเบาหวาน

5. ระงับกลิ่น กลิ่นเหม็นจากแผลเรื้อรัง หรือโรคแผลในช่องปาก จะหมดไปทันทีที่แผลสัมผัสกับคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ กลิ่นอุจจาระที่รุนแรง การผายลม หรือกลิ่นตัวที่มีกลิ่นแรงมาก การดื่มคลอโรฟิลล์จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

6. ควบคุมสมดุลของแคลเซียม ใครที่บริโภคเนื้อมากเกินไป จะขาดความสมดุลของธาตุแคลเซียม จะทำให้ป่วยเป็นโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคกระดูกผุ โรคหัวใจ โรคกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง โรคเลือดไม่แข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ประจำเดือนผิดปกติ คลอโรฟิลล์จะช่วยควบคุมสมดุลของแคลเซียมในร่างกายได้ดี

7. ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่อากาศและอาหารเป็นพิษ โดยการสะสมติดต่อกันเป็นระยะ เวลานาน ทุกวันนี้จึงเจ็บป่วยกันบ่อยด้วยโรคหวัด น้ำมูกไหล เจ็บคอ ช่องหูอักเสบ ท้องเสีย ท้องผูกบ่อย ฯลฯ

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานคลอโรฟิลล์กัน จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง


สวัสดีค่ะ ยุคสมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีสุขภาพแข็งแรงด้วยกันทั้งนั้น เพราะจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ ซึ่งปลายปีที่ผ่านมาก็มีข่าวที่เรียกว่าดึงดูดความสนใจประชาชนอย่างเราได้มากทีเดียว นั่นก็คือข่าวของดาราสาวทั้งหลายที่ดื่มเครื่องดื่มสุขภาพนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีชื่อที่รู้จักกันทั่วไปภายหลังว่า “น้ำคลอโรฟิลล์” และสาเหตุที่ทำให้ทุกคนหันมาสนใจน้ำดื่มชนิดนี้ก็เนื่องจากว่าดาราเหล่านี้มีผลงานเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอยู่แล้ว ยิ่งดาราที่พวกเราชื่นชอบสวยหล่อขึ้นผิดหูผิดตาจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสินค้าตัวนี้จึงเพิ่มยอดการจำหน่ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ลึกลงไปแล้วจะมีสักกี่คนที่รู้ถึงประโยชน์หรือสรรพคุณของน้ำดื่มชนิดนี้จริงๆ ดังนั้นในวันนี้จึงอยากนำเสนอข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้กับท่านผู้ฟังได้ทราบกัน



“คลอโรฟิลล์” ชื่อนี้ที่ใครหลายๆ คนคุ้นหูกับลักษณะของสารสีเขียวที่เป็นส่วนประกอบของพืชผักใบเขียวทุกชนิด รวมถึง “อัลฟัลฟ่า (Alfalfa)” พืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มีคลอโรฟิลล์เป็นองค์ประกอบและผู้ผลิตนิยมนำมาสกัดจนได้เป็นคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปผงพร้อมชงดื่ม ต้นอัลฟัลฟ่าจัดเป็นพืชตระกูลถั่ว เติบโตได้ในแทบทุกสภาพอากาศทั่วโลก มีระบบรากที่สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงทำให้หลายคนคิดว่าต้องมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่าพืชชนิดอื่น แต่ความเป็นจริงคนกับพืชก็มีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และยังจัดเป็นสิ่งมีชีวิตคนละกลุ่มกันด้วย ดังนั้นจะพูดว่าคนสามารถนำธาตุอาหารจากพืชไปใช้ได้ทั้งหมดคงไม่จริง เพราะแร่ธาตุบางอย่างพืชจำเป็นต้องใช้แต่กลับไม่จำเป็นสำหรับคน และสำหรับเหตุผลที่ผู้ขายใช้อ้างความจำเป็นที่เราควรบริโภคเครื่องดื่มชนิดนี้ก็คือ “การบริโภคผัก-ผลไม้สดโดยตรงอาจไม่สะดวก และที่เลวร้ายกว่านั้นคือผักผลไม้สดทั่วไปมักปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นพิษ” จากคำพูดนี้เองทำให้เราหลายๆ คนรู้สึกคล้อยตามและอยากซื้อหามาบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่เราจะได้ยินการโฆษณาสินค้าว่า การดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ที่ผ่านกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน สามารถทดแทนการรับประทานพืชผักสดปริมาณมากๆได้ โดยมีประโยชน์หลักคือ คุณสมบัติในการชำระล้างขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย รวมทั้งรักษาสมดุลและบำรุงรักษา คือช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดงให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังระบุว่าสามารถลดความดันโลหิต รักษาแผลต่างๆตั้งแต่แผลขนาดเล็กไปจนถึงแผลเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ ช่วยป้องกันการขาดแคลเซียม หรือแม้กระทั่งการดับกลิ่นปาก ซึ่งข้อมูลที่กล่าวมานี้เป็นเพียงกลยุทธ์ที่ใช้สำหรับการขายสินค้าเท่านั้น เนื่องจากคุณสมบัติดังกล่าวยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยมารองรับทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการออกฤทธิ์ ดังนั้นจึงมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งพยายามชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ว่า


1. สารสกัดคลอโรฟิลล์ไม่สามารถนำไปใช้ในสร้างเม็ดเลือดแดงได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เนื่องจากมีองค์ประกอบของโครงสร้างและหน้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ช่วยขนส่งออกซิเจนรวมทั้งสารอาหารบางอย่างให้กับร่างกาย แต่คลอโรฟิลล์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสงของพืชเท่านั้น เราลองคิดง่ายๆ ว่าถ้าร่างกายมนุษย์สามารถดูดซึมคลอโรฟิลล์ไปใช้ได้จริงก็คงทำให้เราสังเคราะห์แสงได้และมีสีเขียวเหมือนพืชนั่นเอง


2. คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปผงไม่ใช่สารธรรมชาติ 100% เพราะแท้จริงแล้วต้องมีการผ่านกระบวนการผลิตที่นำพืชมาสกัดและทำปฏิกริยาเคมีกับสารอื่นๆ เช่น อะซีโตน (acetone) หรือ เฮกเซน (hexane) จนได้สารใหม่ที่ไม่ใช่คลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติ เนื่องจากคลอโรฟิลล์จะเสียคุณสมบัติเดิมไปเมื่อถูกสกัดด้วยตัวทำละลาย


3. คลอโรฟิลล์สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้จริง แต่ประสิทธิภาพนั้นน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับยาฆ่าเชื้อที่อ่อนที่สุด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่น้ำคลอโรฟิลล์สามารถรักษาบาดแผลเรื้อรังได้


4. น้ำคลอโรฟิลล์ไม่สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของระบบขับถ่ายได้ หรือที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าช่วยล้างสารพิษ (detox) นั้น เพราะความจริงคลอโรฟิลล์ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นใยหรือไฟเบอร์ (fiber) ดังนั้นจึงไม่สามารถช่วยทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระได้มากขึ้นแต่อย่างใด



จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดน่าจะทำให้ท่านผู้ฟังได้หยุดคิดและพิจารณาถึงประโยชน์ที่ได้รับจากน้ำคลอโรฟิลล์ว่าจำเป็นกับตัวเรามากหรือน้อยเพียงใด กับการที่เราต้องซื้อหามาบริโภคในราคาที่แพงเมื่อเทียบกับการบริโภคพืชผักที่มีอยู่ตามฤดูกาลและมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า และถ้ายังกลัวเรื่องสารเคมีตกค้าง ก็มีทางออกง่ายๆ ด้วยการเลือกบริโภคจากผลผลิตที่ระบุว่าเป็นพืชผักปลอดสารพิษได้ ซึ่งน่าจะทำให้เราได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังมีคำเตือนจากองค์การอาหารและยาหรือ อย. เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่า ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถรักษาโรคได้ เช่น อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยเฉพาะกรณีผลิตภัณฑ์เดียวอวดอ้างสรรพคุณมากมาย ตามที่ผู้โฆษณาพยายามโฆษณาชักจูงเพื่อจะได้จำหน่ายในราคาสูง เนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยหรือทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์และได้มาตรฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีประโยชน์ในทางบำบัด บรรเทา รักษาหรือป้องกัน โรคได้ และ อย. ไม่เคยอนุญาตหรือรับรองสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถรักษาโรคหรือมีคุณประโยชน์ในทางยาด้วย ดังนั้นถ้าเราต้องการสุขภาพที่ดีโดยไม่ต้องมากังวลภายหลังว่าสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปจะมีผลไม่ดีในภายหลังรึเปล่านั้น ก็ขอแนะนำท่านผู้ฟังว่าควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ แป้งหรือข้าว เนื้อสัตว์ ไขมันจากพืช ผักและผลไม้ ซึ่งควรรับประทานให้พอดีกันระหว่างผักและเนื้อสัตว์ และที่สำคัญควรรับประทานอาหารให้มีความหลากหลาย ไม่รับประทานอาหารชนิดเดียวซ้ำกันหลายวัน เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารบางประเภทได้ ถ้าทุกคนสามารถปฏิบัติตัวได้ตามนี้แล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็คงจะไม่ถามหา และอย่าลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ เพราะจะช่วยให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของเราดีขึ้น ไม่มีไขมันส่วนเกินมาสะสมให้รบกวนใจเราในอนาคต


เอกสารอ้างอิง


- กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค เดือนกุมภาพันธ์ ข่าวแจก/ปีงบประมาณ 2550
- บันเทิงไทยรัฐ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549
- พิเชษฐ โฆษกิจจาวุฒิ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 14 มีนาคม 2550




ความจริง ..เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์



ความจริง!! เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์ ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์ มาพักใหญ่ๆ สงสัยอยู่ครามครัน ว่ามันอะไรกัน เพราะเรียนมาทางนี้ (ที่เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์) โดยเฉพาะ จากครั้งแรก เดินงานขายของ ก็มีคนขายยื่นใบปลิว โฆษณาน้ำคลอโรฟิลล์มาให้ แถมพูดถึงสรรพคุณอันหลากหลาย ไอ้เราคนฟังก็ ได้แต่อึ้ง โอ้ เป็นไปได้ขนาดนี้กันเลยเหรอ ครั้งต่อๆ มา ห่างกันเป็นเดือน กระแสคลอโรฟิลล์ดังจนฉุดไม่อยู่ สรรพคุณมากมายยังกะกินแล้ว ร่างกายจะแสนสะอาดซะงั้นล่ะ อดรนทนไม่ไหว เขียนสักหน่อยเป็นไร ไหน ๆ ก็เรียนมาทางที่เกี่ยวกับพืชแล้ว ข้อมูลแรก คือการโทรถามเพื่อนที่เป็นหมอ ทางการแพทย์เขามองยังไงเรื่องน้ำคลอโรฟิลล์ จะเขียนอะไรก็ให้มันมีข้อมูลยืนยันได้สักหน่อย เอาล่ะ มาฟังที่เขาโฆษณากันก่อนดีกว่า (ขอยกตัวอย่างมาให้ดู) ขอย้ำ ว่านี่คือการโฆษณา!!!!ประวัติการค้นคว้า ในปี 1961 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Melvin Calvin ได้รับรางวัลโนเบล ในการค้นคว้าความสัมพันธ์ของคลอโรฟิลล์ในใบพืช มีส่วนสำคัญในขบวนการสังเคราะห์แสง ในปี 1915 Dr.Richard Wilstatter ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ จากนั้นเพียง 15 ปี Dr.Hans Fisher ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของอะตอมเม็ดเลือดแดง (Heme) มีโครงสร้างเหมือนคลอโรฟิลล์ จากงานวิจัยสรุปได้ว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีม ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมาขึ้น พลิกไปอีกหน้า ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลในร่างกาย ให้ความสดชื่น ผิวพรรณสดใน ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ แล้วคราวนี้เรามาดู ความจริงเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ Richard Willstaetter ค้นพบเม็ดสีหลายชนิดในพืชรวมทั้งสีแดงในเลือดของมนุษย์ จากการริเริ่มงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี คศ 1915 ซึ่งนับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ จากนั้น Hans Fischer นักชีวเคมีชาวเยอรมัน พบว่า คลอโรฟิล์ดเป็นพิคเมนท์สีเขียวที่พบในพืช และเฮมินเป็นพิคเมนท์สีแดงที่อยู่ในฮีโมโกบิลในเม็ดเลือดแดงของมนุษย์ จากผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับรับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี คศ 1930 แต่เสียชีวิตก่อนที่จะสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ ปี คศ 1960 Robert Burns Woodward สามารถสังเคราะห์คลอโรฟิลล์เป็นผลสำเร็จ ต่อจากนั้นมา จนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความรู้เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์และบทบาทที่สำคัญในพืช หากต้องการค้นเพิ่มเติม สามารถค้นได้จากเวบไซต์ของผู้ที่ได้รับราววัลโนเบล (ซึ่งไม่รวมงานวิจัยอีกมหาศาลที่ นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้รับรางวัลโนเบลได้เผยแพร่ผลงานไว้)Reference: Chloroplast model from http://www.daviddarling.info/encyclopedia/C/chloroplasts.htmlคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นเม็ดสีที่พบในพืช ผัก สาหร่ายสีเขียว ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นน้ำตาลกลูโคส โดยต้องทำงานร่วมกับโปรตีนชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในพืช ปกติคลอโรฟิลล์จะอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า คลอโรพลาส (chloroplast) คลอโรฟิลล์มีโครงสร้างโมเลกุลของ porphyrin ซึ่งคล้ายกับ heme ใน hemoglobin ในเลือดของมนุษย์ แต่ก็เป็นเพียงความคล้ายคลึงกันของโมเลกุล โดยอะตอมกลางของคลอโรฟิล์ดจะเป็นแมกนีเซียม ส่วนอะตอมกลางของ heme เป็นเหล็ก คลอโรฟิล์ดจะทำหน้าที่ได้ก็ต้องอยู่ในพืชที่มีชีวิตและทำงานร่วมกับโปรตีนอื่นๆที่อยู่ในเซลล์พืช ทำให้มนุษย์และสัตว์ที่บริโภคผักสีเขียวได้รับสารอาหารแมกนีเซียมไปด้วย และไม่ต้องสงสยว่าเมื่อดื่มคลอโรฟิล์ดเข้าไปจะทำให้คุณมีความสามารถในการสังเคราะห์แสงได้ เพียงกรดในกระเพาะอาหารก็เพียงพอจะทำให้คลอโรฟิล์ดถูกย่อยไปแล้ว เอาล่ะ มาดูแต่ละประเด็นกัน ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย การวิจัยทางทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์แค่บอกว่าโมเลกุลคล้ายกัน ไม่ได้บอกว่าทำหน้าที่เหมือนกัน เหมือนกับ การที่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าเหล็กเป็นอะตอมกลางของเม็ดเลือดแดง ก็ไม่ใช่ว่าเราจะกินเหล็ก โดยการแทะ แท่งเหล็กได้ จริงไม๊ ในส่วนร่างกายมนุษย์ เม็ดเลือดแดงถูกสร้างจากไขกระดูก ดังนั้นการที่กินน้ำคลอโรฟิลล์เข้าไป มันอยู่ในระบบย่อยอาหาร สารอาหารที่ถูกย่อยจะต้องถูกย่อยแล้วดูดซึมผ่านกระแสเลือด ในรูปของน้ำตาลและแร่ธาตุ ส่วนกระแสเลือดเป็นอีกระบบนึง ซึ่งในคลอโรฟิลล์ ไม่มีโมเลกุลของเหล็ก การเพิ่มปริมาณการสร้างเม็ดเลือด ทำได้โดยกินธาตุเหล็ก สังเกตได้จาก เมื่อเราบริจาคเลือด ทางสภากาชาดไทย จะให้ซองวิตามินเม็ดสีแดงๆ ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ (สภากาชาดไทย ไม่ได้แนะนำให้คนบริจาคเลือดกินน้ำคลอโรฟิลล์นี่นา)ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ อันนี้ก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ปกติถ้าร่างกายแข็งแรง ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายจะมีสมดุลของตัวเองอยู่แล้ว การนำพาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เป็นหน้าที่ของปอด และเม็ดเลือดแดง ดังนั้นดูจากความเป็นไปได้ คลอโรฟิลล์ก็ยังไม่เกี่ยวกับขบวนการนี้อยู่ดี ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ ไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ให้ความสดชื่น ผิวพรรณสดใส ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น หลาย ๆ ประเด็นตรงนี้ ขออธิบายแบบรวมยอด เท่าที่พอทราบ น้ำคลอโรฟิลล์ที่เขาขายจะเน้นว่าให้ดื่มเป็นจำนวนเท่าไรต่อวัน เช่น 1-2 ลิตร ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน ทางสาธารณสุขก็บอกไว้จนเป็นที่รู้กัน ว่าควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว ซึ่งน้ำ ดื่มเท่าไร ก็ช่วยขจัดพิษและล้าง ทำความสะอาดร่างกายได้มาก ทำให้ระบบขับถ่ายไหลเวียนดี แน่นอนว่าทำให้สมดุลของร่างกายดีขึ้น แล้วร่างกายจะสดชื่นขึ้นไหม นึกถึงเวลาร้อนๆ แล้วเราได้ดื่มน้ำเย็นๆ มันจะสดชื่นแค่ไหน เมื่อระบบขับถ่ายดี ทั้งทางผิวหนังและทางลำไส้ แน่นอนว่าร่างกายจะมีระบบที่ดี สุขภาพที่ดี ย่อมแสดงออกมาทางผิวหนัง และร่างกาย เหมือนที่เคยได้ยินกันว่า You are what you eat มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ ไม่เคยมีรายงานว่า คลอโรฟิลล์เป็น antibacteria และเสริมภูมิต่างทานให้กับร่างกาย แต่หากมองในมุมที่ว่า เมื่อร่างกายแข็งแรง ทุกระบบของร่างกายทำงานอย่างสมดุลและสอดคล้องกัน ร่างกายย่อมมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา และนั่นหมายถึง ร่างกายมีความสามารถที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีด้วย เอาล่ะ อ่านมากันจนตาแฉะ ไม่รุจะงงไหม แต่คนเขียนเริ่มตาลาย หากจะหาน้ำคลอโรฟิลล์กินล่ะก็ น้ำใบบัวบกก็มีค่ะ ทำกินเองง่ายๆ ผักสด ผลไม้สด สีเขียวๆ ได้ใยอาหารและวิตามินอีกด้วย สรุปว่ารักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย และรับประทานผักและผลไม้เยอะ ๆ ร่างกายก็จะแข็งแรงค่ะ ที่สำคัญ จิตใจที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง ถ้าจิตใจดี ร่างกายดี คงไม่ต้องถามหายาวิเศษจากไหน







สารสกัดจากชาเขียว

        สารสกัดจากชาเขียว

ชาเขียว

สารสำคัญในชาเขียว

ในใบชาเขียวมีสาร polyphenols ที่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ทรงพลังในปริมาณสูง (30 – 35 % ของน้ำหนักใบชาแห้ง) เชื่อว่าสาร polyphenols นี่เองที่เป็นสารสำคัญและดีต่อสุขภาพ สาร polyphenols นี้รวมถึงสาร flavonoids (ซึ่งมักพบได้ทั่วไปในผัก ผลไม้) ส่วนสาร catechins ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญเป็น flavonoids ชนิดพิเศษที่พบในชา เนื่องจากชาเขียวไม่ผ่านกระบวนการหมัก จึงยังคงรักษาสารสำคัญไว้ได้ในปริมาณสูง พบว่าในชาเขียวมีปริมาณ catechins ประมาณ 10 – 18% ของน้ำหนักใบชาแห้ง ในขณะที่ชาดำมี catechins ประมาณ 3 – 5 % ของน้ำหนักใบชาแห้ง แสดงว่าการหมักมีการทำลายสาร catechins นอกจากนี้นักวิจัยยังสามารถแยกสาร catechins ออกได้เป็น 5 ชนิด คือ
1. gallocatechin (GC)
2. epicatechin (EC)
3. epigallocatechin (EGC)
4. epicatechin gallate (ECG)
5. epigallocatechin gallate (EGCG)

โดย EGCG ถือเป็น catechins ที่ทรงพลัง ที่สุด นอกจากนี้ ใบชาเขียวยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กรดอะมิโน วิตามินซี วิตามินบี วิตามินอี และฟลูออไรด์ ชาเขียวที่มีคุณภาพดีจะมีปริมาณกรดอะมิโนสูงแต่มี แทนนินต่ำ ในทางตรงข้าม ชาดำและชาอูหลงที่ดีจะมีปริมาณแทนนินสูง ชาเขียวมีรสชาติเฉพาะตัว จะมี รสฝาดน้อย เมื่อนำมาทำเป็นชาเขียว จะทำให้น้ำชามีสีเขียวอ่อนปนน้ำตาล มีกลิ่นหอมเฉพาะ สามารถนำมาปรุงแต่งสี กลิ่นและรสสำหรับผลิตภัณฑ์หลายๆ ชนิดได้อย่างลงตัว เนื่องจากละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นหอม และรสชาติดี

ชาเขียว – ต้านอนุมูลอิสระ

ดังที่กล่าวข้างต้นว่าชาเขียว มีสารแอนติออกซิแดนซ์ ที่ทรงพลังในปริมาณสูง สารแอนติออกซิแดนซ์นี้สามารถจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง สารสกัดจากชาเขียวจึงป้องกันอันตรายที่เกิดจากฤทธิ์ของอนุมูลอิสระในร่างกาย ได้

ชาเขียว – ป้องกันโรคมะเร็ง

จากการศึกษาทางระบาดวิทยาในปี ค.ศ. 1970 พบว่า ชาวญี่ปุ่นในเมืองชิโอสุกะมีอัตราส่วนของประชากรที่เป็นโรคมะเร็งกระเพาะ อาหารต่ำกว่า ชาวญี่ปุ่นในเมืองอื่น และชาวเมืองชิโอสุกะมีอาชีพปลูกชาเขียวและมีการบริโภคชาสูงกว่าชาวญี่ปุ่นใน เมืองอื่น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคชาเขียวกับ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ลดลง หรือ อีกนัยหนึ่งชาเขียว มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค มะเร็งชนิดต่างๆ ได้จริงหรือมีรายงานการทดลอง โดยให้หนูทดลองบริโภคสารละลาย polyphenols แต่ละชนิดและฉีดสารก่อมะเร็งเอ็นเอ็นเค ผลปรากฏว่า EGCG สามารถลดเปอร์เซนต์การก่อตัวเป็นมะเร็งได้ดีที่สุด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า catechins มีบทบาทสำคัญ คือ ช่วยลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็ง บางชนิด แทรกแซงกระบวนการเกาะยึดของสารก่อมะเร็งต่อ DNA ของเซลล์ปกติ สรรพคุณที่เป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ทรงพลัง เสริมการทำงานกับสารแอนติออกซิแดนซ์และ enzymes อื่นๆ และจำกัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอก

ชาเขียว – ลดระดับไขมันในเลือด

ได้มีการทดลองให้หนูบริโภคอาหารที่มี โคเลสเตอรอลสูง เปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงพร้อมกับได้รับ catechins พบว่า catechins สามารถลดปริมาณการเพิ่มขึ้นของระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ มีรายงานการทดลอง แสดงให้เห็นว่า อาสาสมัคร ชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียววันละ 9 ถ้วย สามารถลด ระดับโคเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ชาเขียว – ลดระดับน้ำตาลในเลือด

Catechins ในชาเขียวมีประสิทธิภาพในการจำกัดการทำงานของ amylase enzyme ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกาย ผลทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้น จากการทดสอบในหนูทดลอง พบว่า catechins ช่วยลดระดับกลูโคส และระดับอินซูลินในเลือดได้ และเมื่อทำการวิจัย ในอาสาสมัครโดยให้ catechins 300 มิลลิกรัม ตามด้วยการบริโภคแป้งข้าว 50 กรัม พบว่าระดับกลูโคสและระดับอินซูลินในเลือดไม่สูงขึ้นดังที่ควรจะเป็น

ชาเขียว – ช่วยลดน้ำหนัก

จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การดื่มชาเขียววันละ 2 ถ้วย ช่วยลดการเกิดไขมันส่วนเกิน และทำให้รู้สึกอิ่ม ในการทดลอง เมื่อให้หนูบริโภคอาหารปกติและเสริมด้วยสารสกัดชาเขียว พบว่าการสะสมไขมันในหนูลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่เมื่อให้อาหารเสริมชาเขียวต่อไปนานๆปริมาณไขมันกลับไม่ลดลงต่ำจนผิดปกติ

ชาเขียว – รักษาสุขภาพช่องปาก

การเกิดฟันผุเป็นผลมาจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus mutans ในช่องปากทำปฏิกิริยากับน้ำตาล ได้เป็นสารกลูแคนมีลักษณะเหนียวข้น ไม่ละลายน้ำ เคลือบอยู่ที่ฟัน แล้วเชื้อจุลินทรีย์จะใช้กลูแคนนี้เป็นอาหาร ในระหว่างกระบวนการเมตาโบลิซึม เกิดการสร้างกรดซึ่งไปทำลายสารเคลือบฟันเป็นสาเหตุให้ฟันผุ จากการทดสอบในห้องปฎิบัติการพบว่า สาร catechins สามารถยั้บยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ S. mutans ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนอาจกล่าวได้ว่า การดื่มชาเขียวหลังมื้ออาหารสามารถป้องกันโรคฟันผุได้


ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของชาเขียว

นอกจากอาหาร ได้แก่ ขนมปัง เค้ก ขนม ขบเคี้ยว ช็อกโกแลต หมากฝรั่ง ลูกอม ฯลฯ ที่นำชาเขียวมาใช้แต่งกลิ่น สีและรสชาติของอาหารแล้ว เพื่อสนองตอบความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ผู้ผลิตได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียวหลั่งไหลออกมาสู่ท้องตลาด นับตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง สบู่ เกลืออาบน้ำ โลชั่น ครีม น้ำยาดับกลิ่นกาย ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และเครื่องสำอางต่างๆ นอกจากนี้มีการนำสรรพคุณของชาเขียวในการเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ทรงพลังมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันและน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เหม็นหืนเร็ว มีการศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ในการนำสารสกัดจากชาเขียวมาใช้เป็นสารกัน บูดสำหรับอาหารสดไปจนถึง การนำชาเขียวมาผสมกับ เส้นใยผ้า เป็น “antimicrobial fiber” สำหรับเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น และมีการนำไปใช้เป็น ส่วนผสมในแผ่นใยกรองอากาศสำหรับเครื่องปรับอากาศ นับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ และ เข้ากับกระแสนิยมทีเดียว…แต่ก็อย่าทานเยอะเกินไปล่ะ เพราะการดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้ นอกจากนี้สารแทนนินที่อยู่ในชาเขียวทำให้เกิดรสขมนั้น อาจทำให้ท้องผูกได้ คาเฟอีนในชาเขียวอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ เนื่อง อย่างไรก็ตาม ชาเขียวยังมีคาเฟอินน้อยกว่ากาแฟ คือประมาณ 30-60 มก. ต่อชา 6-8 ออนซ์ เมื่อเทียบ กับจำนวน คาเฟอินกว่า 100 มก. ที่พบในกาแฟ

อ้างอิง : www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=197&sub_name=สารสกัดจากพืช&sub_id=75&ref_main_id=14&mtop_name=ประโยชน์ของชาเขียว

ชาเขียว
ชาเขียว (ญี่ปุ่น: 緑茶 ryokucha ?) , จีน: 绿茶 - พินอิน: lǜchá), อังกฤษ: green tea) เป็นชาที่เก็บเกี่ยวจากพืชในชนิด Camellia sinensis (เช่นเดียวกับ ชาขาว ชาดำ และชาอู่หลง ชาที่ไม่ผ่านการหมัก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีคุณสมบัติในการต้านทานโรคได้นานาชนิดจึงเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ น้ำชาจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว มีรสฝาดไม่มีกลิ่น แต่จะมีการแต่งกลิ่นเผื่อให้เกิดความน่ารับประทานมากขึ้น
ประวัติชาเขียว
ชามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนกว่า 4,000 ปีมีแล้ว กล่าวคือเมื่อ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาได้ถูกค้นพบโดยจักรพรรดินามว่า เสินหนง ซึ่งเป็นบัณฑิตและนักสมุนไพร ผู้รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่เสินหนงกำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่นั้น ปรากฏว่าลมได้โบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี เมื่อเขาลองดื่มก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในช่วงศตวรรษต่างๆดังนี้
ช่วงศตวรรษที่ 3
ชาเป็นยา เป็นเครื่องบำรุงกำลังที่ได้รับความนิยมมากในช่วงศตวรรษที่3ชาวบ้านก็เริ่มหันมาปลูกชากันและพัฒนาขั้นตอนการผลิตมาเรื่อยๆ
ช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5
ชาในประเทศจีนได้รับความนิยมมากขึ้นและได้ผลิตชาในรูปของการอัดเป็นแผ่นคือ การนำใบชามานึ่งก่อน แล้วก็นำมา กระแทก ในสมัยนี้ได้นำน้ำชาถึงมาถวายเป็นของขวัญแด่พระจักรพรรดิ
สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - 906
ถือเป็นยุคทองของชา ชาไม่ได้ดื่ม เพื่อเป็นยาบำรุงกำลังอย่างเดียว แต่มีการดื่มเป็นประจำทุกวัน เป็นเครื่องมือเพื่อสุขภาพ
สมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ. 960 - 1279
ชาได้เติมเครื่องเทศแบบใน สมัยราชวงศ์ถังแต่จะเพิ่มรสบางๆ เช่น น้ำมันจากดอกมะลิ ดอกบัว และดอกเบญจมาศ
สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644)
ชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว สมัยนั้นกระบวนการผลิตชาได้พัฒนาขึ้นไปอีก ไม่อัดเป็นแผ่น แต่มี การรวบรวมใบชา นำมานึ่ง และอบแห้ง ซึ่งจะเก็บได้ไม่ดีนัก สูญเสียกลิ่นได้ ง่าย และรสชาติไม่ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการค้าขายกับชาวยุโรป การผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพชาให้นานขึ้น โดยได้คิดค้นกระบวนการที่ เราเรียกว่า การหมัก เมื่อหมักแล้วก็จะนำไปอบ ซึ่งก็เป็นที่มาของชาอูหลง และชาดำ ในประเทศจีน มีการแต่งกลิ่นด้วย โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้

ประวัติการปลูกชาในประเทศไทย

ในสมัยสุโขทัยช่วงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่ม ชากัน แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาได้อย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของท่านลาลูแบร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มชาแล้ว โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ทางภาคเหนือ

ประเภทของชาเขียว มี 2 ประเภท

  1. ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
  2. ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อน
วิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชาจะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซีจะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง

ใบชาเขียวมีสารสำคัญ 2 ชนิด

กาเฟอีน(caffein)

ซึ่งมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำชาสามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่น แจ่มใส หายง่วง เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต ผู้ป่วยโรคหัวใจก็ไม่ควรดื่มชา เนื่องจากกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ

แทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin)

พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามากทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุดประสงค์ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานาน ๆ เพื่อให้มีปริมาณแทนนินออกมามาก แทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารแคทิชิน (catechin) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง

วิธีเก็บรักษาใบชา

วิธีเก็บรักษาใบชา ควรเก็บในที่แห้ง ณ อุณหภูมิห้อง ในภาชนะที่ปิด สนิท และปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
  1. บรรจุซองฟอยด์ ให้รีดลมออกให้หมด เพื่อมิให้กลิ่นกระจายหาย และ คงให้ใบชาสดใหม่อยู่เสมอ
  2. บรรจุภาชนะอื่น ภาชนะนั้นต้องทึบแสง เช่น กระป๋องไม้ หรือกระป๋อง อะลูมิเนียม หลีกเลี่ยงการเก็บใบชาไว้ในภาชนะที่แสงสามารถลอดผ่านได้ เนื่องจากมีผลเสียต่อใบชา
  3. ภาชนะนั้นๆต้องปราศจากกลิ่นแปลกปลอมใดๆ เนื่องจากใบชามีคุณ สมบัติดูดกลิ่นอย่างดี ดังนั้นควรทำความสะอาดภาชนะนั้นด้วยน้ำสะอาด หลายๆครั้ง จนแน่ใจว่าสะอาดที่สุดแล้ว
  4. ไม่ควรวางไว้ใกล้สถานที่ที่มีกลิ่นความรุนแรง หรือกลิ่นแปลกปลอม ต่างๆ

วิธีการชงชา

  1. ใส่ใบชาในกาชาประมาณ 1/6 -1/4
  2. รินน้ำเดือดลงในกาชาครึ่งหนึ่ง เททิ้งทันที (ไม่ควรเกิน 5 วินาที) เพื่อล้าง และอุ่นใบชาให้ตื่นตัว
  3. รินน้ำเดือดลงในกาชาจนเต็ม ปิดฝากา ทิ้งไว้ประมาณ 45 - 60 วินาที
  4. รินน้ำชาลงในแก้วดื่ม (การรินแต่ละครั้ง ต้องรินน้ำให้หมดกา มิฉะนั้น จะทำให้น้ำชาที่เหลือมีรสขม ฝาดมากขึ้น เสียรสชาติ) ใบชาสามารถชงได้ 4 - 6 ครั้ง หรือจนกว่ากลิ่นชาจะหายหอมไป และในการชงแต่ละครั้ง ให้เพิ่มเวลาครั้งละ 10 - 15 วินาที
การชงชาให้ได้รสชาติดี มีข้อสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ปริมาณใบชา จะใช้ใบชาเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของใบชา เช่น ชาที่มีรูปกลมแน่น กลมกลวม หรือเป็นเส้น ถ้าใช้ใบชาที่มีลักษณะกลมแน่น จะใช้ชาประมาณ 25 % ของกาชา ใบชาเมื่อแช่อยู่ในน้ำร้อน จะเริ่มคลี่ตัวออกทีละน้อย จนเป็นใบชัดเจน ถ้าใส่มากเกินไป จะทำให้การคลาย ตัวไม่สะดวก ซึ่งรสชาติที่ชงออกมาจะไม่ได้ตามมาตรฐานของชานั้นๆ และ การเสียของใบชา เมื่อคลายตัวออกมาเต็มที่ ควรจะมีปริมาณประมาณ 90% ของกาชา
2. อุณหภูมิน้ำ น้ำที่ชงชาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส แต่ต้องดูว่าจะชงชาประเภทใด เช่น อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะสำหรับชงชาที่ทรงแน่นกลม อุณหภูมิ 80 - 90 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับชาที่มีรูปร่างบอบบาง แตกหักง่าย หรือชาที่มีใบอ่อนมาก อุณหภูมิต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียส ใช้ชงกับชาเขียวทั่วๆไป
3. เวลา การใช้เวลานานหรือไม่นานนั้น จะบอกได้ว่า น้ำชาจะอ่อนหรือ แก่ โดยปกติประเภทกลมแน่น จะใช้เวลาในครั้งแรกประมาณ 40 - 60 วินาที ครั้งต่อๆไป เพิ่มอีกครั้งละ 10 - 15 วินาที/ครั้ง
4. กาชา กาที่ใช้ควรเป็นกาที่ทำจากดินเผา กาดินเผาจะเก็บความร้อน ได้ดีกว่า และให้การตอบสนองที่ดีกว่ากาที่ทำจากวัสดุอื่น

สรรพคุณของชาเขียว

ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน รวมถึงสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ด้วย จากงานวิจัยพบว่า ดื่มชาเขียวทุกวันวันละประมาณ 4 แก้ว หรือมากกว่านั้น ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ เพราะในชาเขียวมีสารแอนติออกซิแดนท์ โพลีฟีนอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง สรรพคุณของชาเขียวอีกประการหนึ่ง คือช่วยลดน้ำหนัก จากการวิจัยยังพบอีกว่าสารคาเฟอีนและสารฝาดแคททิคิน ในชาเขียวทำให้เมตาบอลิซึมในร่างกายดีขึ้น เผาผลาญพลังงานได้มาก เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ชาเขียวทำมาจากใบชาชนิดเดียวกับที่ใช้ทำชาดำ แต่การทำชาดำจะต้องผ่านการหมัก ส่วนชาเขียวทำจากใบชาตากแห้งเท่านั้น

ชาเขียวกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคมีด้วยกันทั้งหมด 15 วิธี คือ

  1. การใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน ที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
  2. การใช้ชาเขียวกับส่วนหัวของต้นหอม จะช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด
  3. การใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด ช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม ช่วยต่อต้านมะเร็งตับ
  4. การใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้แห้งจะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
  5. การใช้ชาเขียวร่วมกับคึ่นฉ่ายจะช่วยในการลดความดันโลหิต
  6. การใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
  7. การใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
  8. การใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะลดอาการบวมน้ำ ตกขาว และมดลูกอักเสบ
  9. การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
  10. การใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น บำรุงหัวใจ แก้คอแห้ง
  11. การใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะบำรุงสมอง เสริมความจำ
  12. การใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ เสียงแหบ
  13. การใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดอาการบวมน้ำ
  14. การใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
  15. การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็ว

ล้างพิษด้วยชาเขียว

ชาเขียว ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาบำบัดมายาวนาน และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยเฉพาะคุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวก็ คือ การช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ สรุปกลไกการทำงานของชาเขียวในการล้างพิษได้ดังนี้
  1. ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ชะลอความชรา ลดขบวนการทำลายสารพันธุกรรมและยับยั้งการก่อมะเร็ง
  2. ความจำเพาะเจาะจงในการกระตุ้นเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับของชาเขียวช่วยเพิ่มขบวนการขจัดสารพิษที่ได้รับจากอาหาร ยา และสารพิษอื่นๆ ได้ดีขึ้น และทำให้สุขภาพของตับดีขึ้นด้วย
  3. ความสามารถในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลมะเร็งของชาเขียว ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลที่ผิดปกติ เนื้องอก และเซลมะเร็งได้
  4. ชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีการพัฒนาการทำงานได้ดีขึ้น จึงลดการแทนที่จากแบคทีเรียที่ไม่ดีได้ ส่งผลให้การเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น
  5. ช่วยลดคลอเรสเตอรอล LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ชาเขียวจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันอุดตันหลอดเลือดได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อหัวใจและสมอง
  6. ชาเขียวสามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ และบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ
  7. ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำหนักโดยออกฤทธิ์ร่วมกับ Caffeine ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ในระหว่างวันของร่างกายให้มากขึ้น

ข้อดีของชาเขียว

ต้านโรคไขข้ออักเสบ กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือมีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
ลดระดับคอเลสเทอรอล สารแคเทชินในชาเขียว ช่วยทำลายคอเลสเทอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ แค่นั้นยังไม่พอ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย
ควบคุมน้ำหนัก ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
กลิ่นปากและแบคทีเรีย ป้องกันฟันผุ การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ผลการทดลองชี้ว่ายาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากอย่างเดียวนั้น ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส ผลการศึกษาสรุปว่า สารพอลิฟีนอลส์ในชาเขียวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียถึง 30% และลดการผลิตของสารประกอบที่เป็นสาเหตุทำให้ลมหายใจเหม็นบูด นอกจากนี้ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุ โดยช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ชื่อ Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดหินปูนที่มาเกาะฟัน คนส่วนใหญ่จะดื่มชาเขียวหลังอาหาร เพื่อช่วยให้ลมหายใจและกลิ่นปากสะอาดสดชื่น
ป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี ข้อมูลในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์ และโรคภูมิแพ้ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายนตีพิมพ์ไว้ว่า สารแคเทชินในชาเขียวโดยเฉพาะ EGCG มีสรรพคุณป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวี จับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า "ทีเซลล์" (T cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวนี้ นักวิจัยกล่าวว่าจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาชนิดใหม่ เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวี

ประโยชน์ของชาเขียว

ทำความสะอาดพรม นอกจากใบชาแห้งจะเป็นยาดับกลิ่นได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติต่อต้านหรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย ก่อนทำความสะอาดพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่น ให้โปรยใบชาแห้งบนพรม ให้ทั่วทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงดูดฝุ่นรวมทั้งใบชาทั้งหมด กลิ่นหอมสะอาดของใบชาเขียวจะช่วยทำให้ห้องสดชื่น รวมทั้งทำความสะอาดพรมด้วย
ทำความสะอาดเครื่องครัว เราสามารถใช้กากชาเขียวดับกลิ่นคาวต่าง ๆ ได้ โดยหลังจากใช้เขียงประกอบอาหารแล้ว ให้นำไปล้างน้ำ หลังจากนั้นเกลี่ยใบชาเปียกให้ทั่วเขียง ทิ้งไว้สักพักใหญ่แล้วจึงใช้ใบชาขัดถูเขียงให้ทั่ว และล้างออกด้วยน้ำสะอาด น้ำชาต้มก็สามารถนำมาใช้ล้างทำความสะอาดเขียงและอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ป้องกันสนิม ใช้ใบชาขัดถูหม้อ หรือกะทะเหล็กป้องกันสนิมได้ สารแทนนิน (tannin) ในใบชาจะจับตัวกับเหล็กและสร้างสารเคลือบบาง ๆ บนพื้นผิวหม้อหรือกะทะเพื่อป้องกันสนิม
น้ำยาบ้วนปาก กลั้วปากด้วยชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในปาก สารฟลูออรีนในชาเขียวช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ ไม่จำเป็นต้องใช้ชาเขียวชงครั้งแรกกลั้วปาก ดื่มชาให้ชื่นใจก่อน หลังจากนั้นคุณสามารถใช้ชาเขียวชงครั้งที่สามหรือสี่ได้
ประคบดวงตาให้สดใส นำถุงชาที่เปียกและเย็น ทั้งที่ใช้แล้วหรือถุงชาเก่าที่ไม่ได้ใช้ วางบนเปลือกตาจะช่วยคลายความเมื่อยล้าและทำให้ดวงตาสดใส
ผสมน้ำอาบ นำถุงชาใช้แล้วหรือใบชาใส่ถุงผ้าฝ้ายบาง ๆ มัดให้แน่นแช่ทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น น้ำอุ่นผสมน้ำชาจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
หมอนใบชา กลิ่นหอมบาง ๆ จากใบชาจะช่วยให้เราหลับสบายขึ้น การดูแลรักษาทำได้ง่ายโดยนำหมอนที่ทำจากใบชาออกตากในที่ร่ม เพื่อระบายอากาศเป็นประจำ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
เป็นเครื่องหอม นำใบชามาเผาเป็นเครื่องหอมจะให้กลิ่นหอมมาก
ยาดับกลิ่นในตู้เย็น ให้นำถุงผ้าฝ้ายบ้าง ๆ บรรจุใบชาหรือถุงชาใช้แล้วใส่ไว้ในตู้เย็น สามารถขจัดกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาในตู้เย็นได้
ปุ๋ย ให้นำกากชาไปใส่ที่กระถางต้นไม้ ใช้เป็นปุ๋ยแทนได้

โทษของชาเขียว

ชาเขียวมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจจะเกิดโทษได้เช่นกัน
  1. ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
  2. หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
  3. ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
  4. คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมามากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร
  5. การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย
  6. การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ
  7. ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง
  8. การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้
  9. ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

ชาเขียวกับความงาม

สูตรน้ำแร่ชาเขียว นำน้ำแร่มาต้มให้เดือด ใส่ชาเขียวแบบผงหรือใบชาลงไป อาจเพิ่มใบสะระแหน่สักเล็กน้อย แล้วทิ้งไว้ให้เย็น หรือนำไปแช่ในตู้เย็น ถ้าใช้ใบชา ควรกรองเอาแต่น้ำ เทใส่ขวดสเปรย์ ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ชาเขียว จะเพิ่มความชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ฉีดได้ทุกเวลาที่ต้องการความสดชื่น
สูตรถนอมผิวรอบดวงตา ต้มชาเขียวกับน้ำเดือด แล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่ม นำมาวางบริเวณเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดร่องรอยความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา และยังลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะนุ่มนวลและดูสดชื่นขึ้น
สูตรลดน้ำหนัก ดื่มชาเขียววันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและและไขมันของร่างกายได้
เนื่องจากประโยชน์ที่มีมาก ชาเขียวจึงไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องดื่มอีกต่อไป แต่ยังเป็นสารอาหารเพื่อสุขภาพอีกด้วย

กรดแอลฟาไลโปอิค (Alpha lipoic acid–ALA)

กรดแอลฟาไลโปอิค (Alpha lipoic acid–ALA)

Alpha lipoic acid คืออะไร

กรดแอลฟาไลโปอิค (Alpha lipoic acid–ALA) หรือชื่อพ้องว่ากรดไทออกติก (Thioctic acid), เมต้าวิตามิน (meta vitamin) เป็นกรดไขมัน ต้านอนุมูลอิสระ ที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือภาวะอ่อนแอ ทำให้การสร้างลดลง
ALA พบในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีปริมาณเล็กน้อย สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้สูง และช่วยซ่อมสร้างวิตามินซี และอี ตลอดจนโปรตีนที่ถูกอ็อกซิไดส์ได้ด้วย
มีคุณสมบัติพิเศษคือ ละลายได้ทั้งในน้ำ และน้ำมัน จึงสามารถดูดซึม แทรกซึมเข้าสู่เซลล์ทั่วร่างกาย ตลอดจนผ่านแนวกั้นในสมอง (blood brain barrier) ได้ดี ทำให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
พบ ALA ได้ในมันฝรั่ง เนื้อแดง เครื่องใน ยีสต์ ผักโขม ผักปวยเล้ง และตับ แต่อาจไม่เพียงพอเพื่อผลการรักษา บางคนจึงต้องใช้เสริมจากภายนอกในการบำบัดโรคต่างๆ

ทำอะไร / ประโยชน์


1. ALA มีขนาดโมเลกุลและภาวะแขนคู่ ที่เคลื่อนตัวได้คล่อง และพร้อมให้อิเลคตรอนได้ง่าย ทำให้ละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูง อีกทั้งช่วยส่งเสริม หรือซ่อมสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น เช่น วิตามินซี วิตามินอี กูลตาไธโอน โคคิวเทน ให้กลับมาใช้งานซ้ำได้ หรือเป็นสารทดแทนกรณีสารต้านอนุมูลอิสระใดขาดแคลนไป มีบทบาทได้ทั้งภายในเซลล์ และที่เยื่อหุ้มเซลล์

2. ALA ทำงานส่งเสริมอินซูลิน ในการช่วยกวาดเก็บ นำมาใช้ และเก็บกักน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาที่แสดงว่า oxidative stress มีผลในการเกิดอาการดื้อต่ออินซูลิน ที่เซลล์กล้ามเนื้อ แต่เมื่อเซลล์ได้รับ ALA จะได้รับการปกป้องจากอนุมูลอิสระได้ ALA ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานตอบสนองต่ออินซูลิน

บทบาทที่เพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน ต่อน้ำตาลในเลือด ทำให้ใช้บำบัดผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
3. Diabetic neuropathy ประสาทถูกทำลายเนื่องจากเบาหวาน จากน้ำตาลในเลือดสูง หรือ oxidation ต่อเส้นประสาทนั้น วิตามิน B12 ช่วยไม่ได้มาก แต่ALA ใช้ได้ผลดีจากการที่ ALA มีส่วนร่วมในเมตาโบลิซึมของพลังงาน ช่วยการไหลเวียนเลือดตามหลอดเล็กๆ (เช่น เส้นที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท) ดีขึ้น แล้วยังช่วยให้การใช้น้ำตาลในเลือดดีขึ้นด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ นอกจาก ALA แล้ว ก็ยังมีวิตามินอี และ Capsaicin ที่ได้จากพริก
ALA มักเป็นแคปซูล ขนาด 100 – 200 มก. แต่ขนาดที่ควรใช้คือ 600 – 800 มก. มีการศึกษาระบุว่าควรทาน 1800 มก.x 3 สำหรับกรณีที่รุนแรงเช่นนี้

ประโยชน์หลักของ ALA คือ ใช้รักษาอาการปวดและชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า จากระบบประสาทถูกทำลาย ซึ่งอาจเกิดจากอนุมูลอิสระทำลายเซลล์ประสาท เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ เกิดการเติมออกซิเจน (oxygenation) รวมทั้งอาการประสาทเสื่อมจากเบาหวาน ต้านการอักเสบ
4. จับตัวกับโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู ปรอท แล้วขับออกจากร่างกาย (Chelation) อีกทั้งคุณสมบัติที่ซึมผ่านแนวกั้นสมองได้ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีบทบาทเข้าไปช่วยนำโลหะหนักออกมาขับทิ้ง ผ่านตับ หรือไตได้
5. คุณสมบัติที่เพิ่มระดับกลูตาไธโอนในตับ ช่วยให้ตับขับล้างสารพิษตกค้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยบำรุงตับให้แข็งแรง

6. ALA ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในร่างกาย เพื่อเร่งกระบวนการสร้างพลังงาน และจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระฤทธิ์แรง ช่วยให้อนุภาคที่ไม่เสถียร และเป็นผลร้ายต่อร่างกาย มีสภาพเป็นกลาง

ช่วยควบคุมระดับของธาตุเหล็ก และทองแดงซึ่งเป็นแร่ธาตุจำเป็นของร่างกายให้อยู่ในระดับที่พอดี

7. ALA ช่วยปกป้องตับมิให้ถูกอนุมูลอิสระทำลาย ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีการใช้สารนี้รักษาตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคตับอื่นๆ รวมทั้งสารพิษตะกั่ว หรือโลหะหนักอื่นๆ และสารเคมีจาก อุตสาหกรรม เช่น carbon tetrachloride

8. ในสัตว์ทดลองยังพบประโยชน์ของ ALA ช่วยยับยั้งต้อกระจก เพิ่มความจำ และปกป้องเซลล์สมองจากการขาดเลือด

มีบางข้อมูลชี้ว่า ALA ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน และการทำงานของตับ ช่วยชะลอการเกิดหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งมักพบในผู้ป่วยเบาหวาน

9. การศึกษาผลของ ALA ในอัลไซเมอร์ และพาร์คินสัน บ่งชี้ว่า ALA น่าจะมีประโยชน์

10. ตลอดจนใช้คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องอ่อนเพลียเรื้อรัง สะเก็ดเงิน ซึ่งรุนแรงจากอนุมูลอิสระ

11. พบว่า ALA ช่วยป้องกันการกระตุ้นอองโคยีน (oncogene) ซึ่งเป็นยีนควบคุมการเกิดมะเร็ง จากอนุมูลอิสระ และสารก่อมะเร็ง

12. อาการปวดแสบร้อนในปาก เหมือนกินพริก เข้าใจว่าอารมณ์แปรปรวนในวัยทอง การลดลงของฮอร์โมน หรือมีโรคของระบบประสาท หนึ่งในสามเกิดหลังทำฟัน การติดเชื้อยีสต์ (candida albicans) การขาดวิตามินบีต่างๆ และสังกะสี

พบว่าการให้ ALA ชนิดออกฤทธิ์ช้าๆ ช่วยลดอาการได้

เข้าใจว่า ALA ไปทำลายอนุมูลอิสระที่กดดันประสาท และเพิ่มความเร็วของสัญญาณประสาท

ALA เคยใช้กับการเจ็บปวดร้าวของประสาทไซอาติก (sciatic pain) ได้ผล จึงนำมาใช้กับอาการแสบร้อนในปาก

มีการทดลองให้ ALA เทียบกับยาหลอก พบว่า 97% มีอาการดีขึ้น, 74% ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด, 13% หายขาด, 10% ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ในขณะที่กลุ่มยาหลอกมีอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย 40% การติดตามผล 1 ปีให้หลัง พบว่ากลุ่มที่ได้ ALA 3 ใน 4 มีอาการดีขึ้นในระดับที่ดี ส่วนกลุ่มยาหลอกกลับมีอาการแย่ลง

13. อาวุธใหม่ในการลดน้ำหนัก มีงานวิจัยว่า ALA มีผลอย่างไรกับเอนไซม์ APK (activated protein kinase enzyme) ซึ่งพบในสมองส่วนไฮโปทาลามัส น่าจะมีหน้าที่สำคัญต่อความอยากอาหาร APK เพิ่มขึ้นเมื่อ เซลล์ต้องการพลังงานมากขึ้น ซึ่งอาจไปเพิ่มความอยากอาหาร

คนอ้วนส่วนมากไม่ตอบสนองต่อ Leptin ซึ่งนำมาใช้เป็นฮอร์โมนต่อต้านความอ้วน แต่ ALA พอที่จะให้ความหวังได้ โดยสัตว์ทดลองมีอัตราเผาผลาญสูงขึ้นด้วย กลูโคสและไขมันถูกเผาผลาญมากขึ้น

ในกรณีเบาหวาน ที่ดื้ออินซูลิน ย่อมดีขึ้น โดยลดการสะสมของไขมันที่กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน

ที่ไมโตคอนเดรีย เป็นตำแหน่งที่ ALA ทำงานในฐานะปัจจัยร่วม(Co factor)ในการย่อยกลูโคสและไขมัน

ALA เป็นตัวช่วยวิตามินทุกชนิด เช่น ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน กรดแพนโธทีนิค และไนอาซิน ในการเปลี่ยนคาร์โบฮัยเดรท โปรตีน และไขมันจากอาหารให้กลายเป็นพลังงาน

ALA เป็นปัจจัยสำคัญใน internal cellular burn หรือการเผาผลาญภายในไมโตคอนเดรีย จึงช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญของเซลล์ เพิ่มพลังงาน และความสามารถในการซ่อมแซมของเซลล์

14. โรคประสาทที่ไม่ได้มาจากเบาหวาน ALA ก็น่าจะมีบทบาทจากการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวยง อีกทั้งไปเพิ่มระดับกลูตาไธโอนภายในเซลล์ ทำให้ช่วยซ่อมเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายเสียหายให้ฟื้นกลับมาใหม่

การไม่เป็นพิษของ ALA จึงน่าจะผสมผสานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมโภชนาการ ร่วมกับวิตามินบีรวม แมกนีเซียม และกรดไขมันจำเป็น

ยังแนะนำให้ใช้ ALA ในโรค multiple sclerosis อาการพิษจากโลหะหนัก, ต้อกระจก และต้อหิน โรคตับจากพิษสุรา

ขนาด + วิธีใช้


การใช้ปริมาณเล็กน้อย วันละ 20 – 150 มก. มักไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ขนาดที่ใช้แก้ปัญหาคือ 100 – 200 มก. X 3 ครั้ง / วัน ควรค่อยๆ เพิ่มจากน้อยไปหามาก การใช้ปริมาณมากในทันที อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน หรือเกิดผื่นแดงตามผิวหนังได้บ้าง หากมีอาการก็ให้ลดขนาดหรือหยุดใช้ได้ แต่ก็น่าจะแสดงว่าร่างกายสนองต่อผลการรักษา

แพทย์ผู้รักษาที่เชี่ยวชาญอาจใช้ขนาดสูงได้ถึงวันละ 1800 มก.

ข้อพึงระวัง ยังไม่เคยมีการทดสอบในหญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร การใช้ปริมาณสูงจึงควรระวัง

อาจเสริมฤทธิ์ของกรด แกมมา–ไลโนเลนิค (GLA) และ / หรือ acetyl–L–carnitine ให้ผลดีมากยิ่งขึ้น ลดน้ำตาลในเลือดมากขึ้น ทำให้อาจต้องลดขนาดยาที่ใช้

อาจออกฤทธิ์ร่วมกับ T4 ไปชะลอการเปลี่ยนเป็น T3 จึงควรทานห่างกันหลายชั่วโมง


เอกสารอ้างอิง :
1. รีดเดอร์สไดเจสท์ คู่มือฉลาดใช้วิตามินแร่ธาตุ และสมุนไพร ISBN 974-93003-51
2. ศ.นพ.เฉลียว ปิยะชน รู้สู้โรค ISBN 974-409-833-3
3. วารสารอาหาร + สุขภาพ แปลโดย พอ.หญิงศรีนวล เจียจันทร์พงษ์ และคณะ ฉ.97/2545 115/2548, 127/2550