สารสำคัญในชาเขียว
ในใบชาเขียวมีสาร polyphenols ที่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ทรงพลังในปริมาณสูง (30 – 35 % ของน้ำหนักใบชาแห้ง) เชื่อว่าสาร polyphenols นี่เองที่เป็นสารสำคัญและดีต่อสุขภาพ สาร polyphenols นี้รวมถึงสาร flavonoids (ซึ่งมักพบได้ทั่วไปในผัก ผลไม้) ส่วนสาร catechins ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญเป็น flavonoids ชนิดพิเศษที่พบในชา เนื่องจากชาเขียวไม่ผ่านกระบวนการหมัก จึงยังคงรักษาสารสำคัญไว้ได้ในปริมาณสูง พบว่าในชาเขียวมีปริมาณ catechins ประมาณ 10 – 18% ของน้ำหนักใบชาแห้ง ในขณะที่ชาดำมี catechins ประมาณ 3 – 5 % ของน้ำหนักใบชาแห้ง แสดงว่าการหมักมีการทำลายสาร catechins นอกจากนี้นักวิจัยยังสามารถแยกสาร catechins ออกได้เป็น 5 ชนิด คือ1. gallocatechin (GC)
2. epicatechin (EC)
3. epigallocatechin (EGC)
4. epicatechin gallate (ECG)
5. epigallocatechin gallate (EGCG)
โดย EGCG ถือเป็น catechins ที่ทรงพลัง ที่สุด นอกจากนี้ ใบชาเขียวยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กรดอะมิโน วิตามินซี วิตามินบี วิตามินอี และฟลูออไรด์ ชาเขียวที่มีคุณภาพดีจะมีปริมาณกรดอะมิโนสูงแต่มี แทนนินต่ำ ในทางตรงข้าม ชาดำและชาอูหลงที่ดีจะมีปริมาณแทนนินสูง ชาเขียวมีรสชาติเฉพาะตัว จะมี รสฝาดน้อย เมื่อนำมาทำเป็นชาเขียว จะทำให้น้ำชามีสีเขียวอ่อนปนน้ำตาล มีกลิ่นหอมเฉพาะ สามารถนำมาปรุงแต่งสี กลิ่นและรสสำหรับผลิตภัณฑ์หลายๆ ชนิดได้อย่างลงตัว เนื่องจากละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นหอม และรสชาติดี
ชาเขียว – ต้านอนุมูลอิสระ
ดังที่กล่าวข้างต้นว่าชาเขียว มีสารแอนติออกซิแดนซ์ ที่ทรงพลังในปริมาณสูง สารแอนติออกซิแดนซ์นี้สามารถจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง สารสกัดจากชาเขียวจึงป้องกันอันตรายที่เกิดจากฤทธิ์ของอนุมูลอิสระในร่างกาย ได้ชาเขียว – ป้องกันโรคมะเร็ง
จากการศึกษาทางระบาดวิทยาในปี ค.ศ. 1970 พบว่า ชาวญี่ปุ่นในเมืองชิโอสุกะมีอัตราส่วนของประชากรที่เป็นโรคมะเร็งกระเพาะ อาหารต่ำกว่า ชาวญี่ปุ่นในเมืองอื่น และชาวเมืองชิโอสุกะมีอาชีพปลูกชาเขียวและมีการบริโภคชาสูงกว่าชาวญี่ปุ่นใน เมืองอื่น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคชาเขียวกับ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ลดลง หรือ อีกนัยหนึ่งชาเขียว มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค มะเร็งชนิดต่างๆ ได้จริงหรือมีรายงานการทดลอง โดยให้หนูทดลองบริโภคสารละลาย polyphenols แต่ละชนิดและฉีดสารก่อมะเร็งเอ็นเอ็นเค ผลปรากฏว่า EGCG สามารถลดเปอร์เซนต์การก่อตัวเป็นมะเร็งได้ดีที่สุด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า catechins มีบทบาทสำคัญ คือ ช่วยลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็ง บางชนิด แทรกแซงกระบวนการเกาะยึดของสารก่อมะเร็งต่อ DNA ของเซลล์ปกติ สรรพคุณที่เป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ทรงพลัง เสริมการทำงานกับสารแอนติออกซิแดนซ์และ enzymes อื่นๆ และจำกัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอกชาเขียว – ลดระดับไขมันในเลือด
ได้มีการทดลองให้หนูบริโภคอาหารที่มี โคเลสเตอรอลสูง เปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงพร้อมกับได้รับ catechins พบว่า catechins สามารถลดปริมาณการเพิ่มขึ้นของระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ มีรายงานการทดลอง แสดงให้เห็นว่า อาสาสมัคร ชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียววันละ 9 ถ้วย สามารถลด ระดับโคเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรชาเขียว – ลดระดับน้ำตาลในเลือด
Catechins ในชาเขียวมีประสิทธิภาพในการจำกัดการทำงานของ amylase enzyme ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกาย ผลทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้น จากการทดสอบในหนูทดลอง พบว่า catechins ช่วยลดระดับกลูโคส และระดับอินซูลินในเลือดได้ และเมื่อทำการวิจัย ในอาสาสมัครโดยให้ catechins 300 มิลลิกรัม ตามด้วยการบริโภคแป้งข้าว 50 กรัม พบว่าระดับกลูโคสและระดับอินซูลินในเลือดไม่สูงขึ้นดังที่ควรจะเป็นชาเขียว – ช่วยลดน้ำหนัก
จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การดื่มชาเขียววันละ 2 ถ้วย ช่วยลดการเกิดไขมันส่วนเกิน และทำให้รู้สึกอิ่ม ในการทดลอง เมื่อให้หนูบริโภคอาหารปกติและเสริมด้วยสารสกัดชาเขียว พบว่าการสะสมไขมันในหนูลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่เมื่อให้อาหารเสริมชาเขียวต่อไปนานๆปริมาณไขมันกลับไม่ลดลงต่ำจนผิดปกติชาเขียว – รักษาสุขภาพช่องปาก
การเกิดฟันผุเป็นผลมาจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus mutans ในช่องปากทำปฏิกิริยากับน้ำตาล ได้เป็นสารกลูแคนมีลักษณะเหนียวข้น ไม่ละลายน้ำ เคลือบอยู่ที่ฟัน แล้วเชื้อจุลินทรีย์จะใช้กลูแคนนี้เป็นอาหาร ในระหว่างกระบวนการเมตาโบลิซึม เกิดการสร้างกรดซึ่งไปทำลายสารเคลือบฟันเป็นสาเหตุให้ฟันผุ จากการทดสอบในห้องปฎิบัติการพบว่า สาร catechins สามารถยั้บยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ S. mutans ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนอาจกล่าวได้ว่า การดื่มชาเขียวหลังมื้ออาหารสามารถป้องกันโรคฟันผุได้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของชาเขียว
นอกจากอาหาร ได้แก่ ขนมปัง เค้ก ขนม ขบเคี้ยว ช็อกโกแลต หมากฝรั่ง ลูกอม ฯลฯ ที่นำชาเขียวมาใช้แต่งกลิ่น สีและรสชาติของอาหารแล้ว เพื่อสนองตอบความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ผู้ผลิตได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียวหลั่งไหลออกมาสู่ท้องตลาด นับตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง สบู่ เกลืออาบน้ำ โลชั่น ครีม น้ำยาดับกลิ่นกาย ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และเครื่องสำอางต่างๆ นอกจากนี้มีการนำสรรพคุณของชาเขียวในการเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ทรงพลังมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันและน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เหม็นหืนเร็ว มีการศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ในการนำสารสกัดจากชาเขียวมาใช้เป็นสารกัน บูดสำหรับอาหารสดไปจนถึง การนำชาเขียวมาผสมกับ เส้นใยผ้า เป็น “antimicrobial fiber” สำหรับเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น และมีการนำไปใช้เป็น ส่วนผสมในแผ่นใยกรองอากาศสำหรับเครื่องปรับอากาศ นับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ และ เข้ากับกระแสนิยมทีเดียว…แต่ก็อย่าทานเยอะเกินไปล่ะ เพราะการดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้ นอกจากนี้สารแทนนินที่อยู่ในชาเขียวทำให้เกิดรสขมนั้น อาจทำให้ท้องผูกได้ คาเฟอีนในชาเขียวอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ เนื่อง อย่างไรก็ตาม ชาเขียวยังมีคาเฟอินน้อยกว่ากาแฟ คือประมาณ 30-60 มก. ต่อชา 6-8 ออนซ์ เมื่อเทียบ กับจำนวน คาเฟอินกว่า 100 มก. ที่พบในกาแฟ
อ้างอิง : www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=197&sub_name=สารสกัดจากพืช&sub_id=75&ref_main_id=14&mtop_name=ประโยชน์ของชาเขียว
ชาเขียว
ชาเขียว (ญี่ปุ่น: 緑茶 ryokucha ?) , จีน: 绿茶 - พินอิน: lǜchá), อังกฤษ: green tea) เป็นชาที่เก็บเกี่ยวจากพืชในชนิด Camellia sinensis (เช่นเดียวกับ ชาขาว ชาดำ และชาอู่หลง ชาที่ไม่ผ่านการหมัก
ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีคุณสมบัติในการต้านทานโรคได้นานาชนิดจึงเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ น้ำชาจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว มีรสฝาดไม่มีกลิ่น
แต่จะมีการแต่งกลิ่นเผื่อให้เกิดความน่ารับประทานมากขึ้น
ประวัติชาเขียว
ชามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนกว่า 4,000 ปีมีแล้ว กล่าวคือเมื่อ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาได้ถูกค้นพบโดยจักรพรรดินามว่า เสินหนง ซึ่งเป็นบัณฑิตและนักสมุนไพร ผู้รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น
วันหนึ่งขณะที่เสินหนงกำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่นั้น
ปรากฏว่าลมได้โบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี
เมื่อเขาลองดื่มก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก
ชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในช่วงศตวรรษต่างๆดังนี้- ช่วงศตวรรษที่ 3
- ช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5
- สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - 906
- สมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ. 960 - 1279
- สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644)
ประวัติการปลูกชาในประเทศไทย
ในสมัยสุโขทัยช่วงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่ม ชากัน แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาได้อย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของท่านลาลูแบร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มชาแล้ว โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ทางภาคเหนือประเภทของชาเขียว มี 2 ประเภท
- ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
- ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อน
ใบชาเขียวมีสารสำคัญ 2 ชนิด
กาเฟอีน(caffein)
ซึ่งมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำชาสามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่น แจ่มใส หายง่วง เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต ผู้ป่วยโรคหัวใจก็ไม่ควรดื่มชา เนื่องจากกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจแทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin)
พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามากทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุดประสงค์ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานาน ๆ เพื่อให้มีปริมาณแทนนินออกมามาก แทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารแคทิชิน (catechin) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็งวิธีเก็บรักษาใบชา
วิธีเก็บรักษาใบชา ควรเก็บในที่แห้ง ณ อุณหภูมิห้อง ในภาชนะที่ปิด สนิท และปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้- บรรจุซองฟอยด์ ให้รีดลมออกให้หมด เพื่อมิให้กลิ่นกระจายหาย และ คงให้ใบชาสดใหม่อยู่เสมอ
- บรรจุภาชนะอื่น ภาชนะนั้นต้องทึบแสง เช่น กระป๋องไม้ หรือกระป๋อง อะลูมิเนียม หลีกเลี่ยงการเก็บใบชาไว้ในภาชนะที่แสงสามารถลอดผ่านได้ เนื่องจากมีผลเสียต่อใบชา
- ภาชนะนั้นๆต้องปราศจากกลิ่นแปลกปลอมใดๆ เนื่องจากใบชามีคุณ สมบัติดูดกลิ่นอย่างดี ดังนั้นควรทำความสะอาดภาชนะนั้นด้วยน้ำสะอาด หลายๆครั้ง จนแน่ใจว่าสะอาดที่สุดแล้ว
- ไม่ควรวางไว้ใกล้สถานที่ที่มีกลิ่นความรุนแรง หรือกลิ่นแปลกปลอม ต่างๆ
วิธีการชงชา
- ใส่ใบชาในกาชาประมาณ 1/6 -1/4
- รินน้ำเดือดลงในกาชาครึ่งหนึ่ง เททิ้งทันที (ไม่ควรเกิน 5 วินาที) เพื่อล้าง และอุ่นใบชาให้ตื่นตัว
- รินน้ำเดือดลงในกาชาจนเต็ม ปิดฝากา ทิ้งไว้ประมาณ 45 - 60 วินาที
- รินน้ำชาลงในแก้วดื่ม (การรินแต่ละครั้ง ต้องรินน้ำให้หมดกา มิฉะนั้น จะทำให้น้ำชาที่เหลือมีรสขม ฝาดมากขึ้น เสียรสชาติ) ใบชาสามารถชงได้ 4 - 6 ครั้ง หรือจนกว่ากลิ่นชาจะหายหอมไป และในการชงแต่ละครั้ง ให้เพิ่มเวลาครั้งละ 10 - 15 วินาที
-
การชงชาให้ได้รสชาติดี มีข้อสำคัญ 4 ประการ คือ
2. อุณหภูมิน้ำ
น้ำที่ชงชาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส แต่ต้องดูว่าจะชงชาประเภทใด เช่น อุณหภูมิ 90
องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะสำหรับชงชาที่ทรงแน่นกลม อุณหภูมิ 80 - 90 องศาเซลเซียส
เหมาะสำหรับชาที่มีรูปร่างบอบบาง แตกหักง่าย หรือชาที่มีใบอ่อนมาก อุณหภูมิต่ำกว่า
80 องศาเซลเซียส ใช้ชงกับชาเขียวทั่วๆไป
3. เวลา การใช้เวลานานหรือไม่นานนั้น
จะบอกได้ว่า น้ำชาจะอ่อนหรือ แก่ โดยปกติประเภทกลมแน่น จะใช้เวลาในครั้งแรกประมาณ
40 - 60 วินาที ครั้งต่อๆไป เพิ่มอีกครั้งละ 10 - 15
วินาที/ครั้ง
4. กาชา
กาที่ใช้ควรเป็นกาที่ทำจากดินเผา กาดินเผาจะเก็บความร้อน ได้ดีกว่า
และให้การตอบสนองที่ดีกว่ากาที่ทำจากวัสดุอื่น
สรรพคุณของชาเขียว
ชาเขียว
เป็นเครื่องดื่มซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน
รวมถึงสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ด้วย จากงานวิจัยพบว่า
ดื่มชาเขียวทุกวันวันละประมาณ 4 แก้ว หรือมากกว่านั้น ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้
เพราะในชาเขียวมีสารแอนติออกซิแดนท์ โพลีฟีนอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง สรรพคุณของชาเขียวอีกประการหนึ่ง คือช่วยลดน้ำหนัก
จากการวิจัยยังพบอีกว่าสารคาเฟอีนและสารฝาดแคททิคิน ในชาเขียวทำให้เมตาบอลิซึมในร่างกายดีขึ้น เผาผลาญพลังงานได้มาก
เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ
ชาเขียวทำมาจากใบชาชนิดเดียวกับที่ใช้ทำชาดำ แต่การทำชาดำจะต้องผ่านการหมัก
ส่วนชาเขียวทำจากใบชาตากแห้งเท่านั้น
ชาเขียวกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคมีด้วยกันทั้งหมด 15 วิธี คือ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน ที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
- การใช้ชาเขียวกับส่วนหัวของต้นหอม จะช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด
- การใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด ช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม ช่วยต่อต้านมะเร็งตับ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้แห้งจะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
- การใช้ชาเขียวร่วมกับคึ่นฉ่ายจะช่วยในการลดความดันโลหิต
- การใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
- การใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
- การใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะลดอาการบวมน้ำ ตกขาว และมดลูกอักเสบ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
- การใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น บำรุงหัวใจ แก้คอแห้ง
- การใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะบำรุงสมอง เสริมความจำ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ เสียงแหบ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดอาการบวมน้ำ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
- การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็ว
ล้างพิษด้วยชาเขียว
ชาเขียว
ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาบำบัดมายาวนาน
และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยเฉพาะคุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวก็ คือ
การช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์
สรุปกลไกการทำงานของชาเขียวในการล้างพิษได้ดังนี้
- ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ชะลอความชรา ลดขบวนการทำลายสารพันธุกรรมและยับยั้งการก่อมะเร็ง
- ความจำเพาะเจาะจงในการกระตุ้นเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับของชาเขียวช่วยเพิ่มขบวนการขจัดสารพิษที่ได้รับจากอาหาร ยา และสารพิษอื่นๆ ได้ดีขึ้น และทำให้สุขภาพของตับดีขึ้นด้วย
- ความสามารถในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลมะเร็งของชาเขียว ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลที่ผิดปกติ เนื้องอก และเซลมะเร็งได้
- ชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีการพัฒนาการทำงานได้ดีขึ้น จึงลดการแทนที่จากแบคทีเรียที่ไม่ดีได้ ส่งผลให้การเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น
- ช่วยลดคลอเรสเตอรอล LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ชาเขียวจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันอุดตันหลอดเลือดได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อหัวใจและสมอง
- ชาเขียวสามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ และบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ
- ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำหนักโดยออกฤทธิ์ร่วมกับ Caffeine ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ในระหว่างวันของร่างกายให้มากขึ้น
ข้อดีของชาเขียว
ต้านโรคไขข้ออักเสบ
กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis)
ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือมีอาการของการอักเสบบวมแดง
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
ลดระดับคอเลสเทอรอล
สารแคเทชินในชาเขียว ช่วยทำลายคอเลสเทอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้
แค่นั้นยังไม่พอ
ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย
ควบคุมน้ำหนัก
ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว
จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า
ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
กลิ่นปากและแบคทีเรีย ป้องกันฟันผุ
การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว
ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย
อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก
ต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
ผลการทดลองชี้ว่ายาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากอย่างเดียวนั้น
ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส ผลการศึกษาสรุปว่า
สารพอลิฟีนอลส์ในชาเขียวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียถึง 30%
และลดการผลิตของสารประกอบที่เป็นสาเหตุทำให้ลมหายใจเหม็นบูด
นอกจากนี้ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุ โดยช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ชื่อ
Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดหินปูนที่มาเกาะฟัน
คนส่วนใหญ่จะดื่มชาเขียวหลังอาหาร
เพื่อช่วยให้ลมหายใจและกลิ่นปากสะอาดสดชื่น
ป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี ข้อมูลในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์ และโรคภูมิแพ้ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายนตีพิมพ์ไว้ว่า สารแคเทชินในชาเขียวโดยเฉพาะ EGCG
มีสรรพคุณป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า
ชาเขียวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวี จับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว
ชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า "ทีเซลล์" (T cells)
ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้
ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวนี้
นักวิจัยกล่าวว่าจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาชนิดใหม่
เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวี
ประโยชน์ของชาเขียว
ทำความสะอาดพรม
นอกจากใบชาแห้งจะเป็นยาดับกลิ่นได้ดีแล้ว
ยังมีคุณสมบัติต่อต้านหรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย
ก่อนทำความสะอาดพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่น ให้โปรยใบชาแห้งบนพรม
ให้ทั่วทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงดูดฝุ่นรวมทั้งใบชาทั้งหมด
กลิ่นหอมสะอาดของใบชาเขียวจะช่วยทำให้ห้องสดชื่น
รวมทั้งทำความสะอาดพรมด้วย
ทำความสะอาดเครื่องครัว
เราสามารถใช้กากชาเขียวดับกลิ่นคาวต่าง ๆ ได้ โดยหลังจากใช้เขียงประกอบอาหารแล้ว
ให้นำไปล้างน้ำ หลังจากนั้นเกลี่ยใบชาเปียกให้ทั่วเขียง
ทิ้งไว้สักพักใหญ่แล้วจึงใช้ใบชาขัดถูเขียงให้ทั่ว และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
น้ำชาต้มก็สามารถนำมาใช้ล้างทำความสะอาดเขียงและอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น ๆ
ได้เช่นกัน
ป้องกันสนิม ใช้ใบชาขัดถูหม้อ
หรือกะทะเหล็กป้องกันสนิมได้ สารแทนนิน (tannin)
ในใบชาจะจับตัวกับเหล็กและสร้างสารเคลือบบาง ๆ
บนพื้นผิวหม้อหรือกะทะเพื่อป้องกันสนิม
น้ำยาบ้วนปาก
กลั้วปากด้วยชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น
และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในปาก
สารฟลูออรีนในชาเขียวช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ
ไม่จำเป็นต้องใช้ชาเขียวชงครั้งแรกกลั้วปาก ดื่มชาให้ชื่นใจก่อน
หลังจากนั้นคุณสามารถใช้ชาเขียวชงครั้งที่สามหรือสี่ได้
ประคบดวงตาให้สดใส
นำถุงชาที่เปียกและเย็น ทั้งที่ใช้แล้วหรือถุงชาเก่าที่ไม่ได้ใช้
วางบนเปลือกตาจะช่วยคลายความเมื่อยล้าและทำให้ดวงตาสดใส
ผสมน้ำอาบ
นำถุงชาใช้แล้วหรือใบชาใส่ถุงผ้าฝ้ายบาง ๆ มัดให้แน่นแช่ทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น
น้ำอุ่นผสมน้ำชาจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
หมอนใบชา กลิ่นหอมบาง ๆ
จากใบชาจะช่วยให้เราหลับสบายขึ้น
การดูแลรักษาทำได้ง่ายโดยนำหมอนที่ทำจากใบชาออกตากในที่ร่ม
เพื่อระบายอากาศเป็นประจำ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
เป็นเครื่องหอม
นำใบชามาเผาเป็นเครื่องหอมจะให้กลิ่นหอมมาก
ยาดับกลิ่นในตู้เย็น
ให้นำถุงผ้าฝ้ายบ้าง ๆ บรรจุใบชาหรือถุงชาใช้แล้วใส่ไว้ในตู้เย็น
สามารถขจัดกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาในตู้เย็นได้
ปุ๋ย ให้นำกากชาไปใส่ที่กระถางต้นไม้
ใช้เป็นปุ๋ยแทนได้
โทษของชาเขียว
ชาเขียวมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป
ก็อาจจะเกิดโทษได้เช่นกัน
- ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
- หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
- ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
- คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมามากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร
- การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย
- การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ
- ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง
- การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้
- ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG
ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50%
แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG
เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง
เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน
ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี
ชาเขียวกับความงาม
-
-
-
สูตรน้ำแร่ชาเขียว นำน้ำแร่มาต้มให้เดือด ใส่ชาเขียวแบบผงหรือใบชาลงไป อาจเพิ่มใบสะระแหน่สักเล็กน้อย แล้วทิ้งไว้ให้เย็น หรือนำไปแช่ในตู้เย็น ถ้าใช้ใบชา ควรกรองเอาแต่น้ำ เทใส่ขวดสเปรย์ ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ชาเขียว จะเพิ่มความชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ฉีดได้ทุกเวลาที่ต้องการความสดชื่น
-
- สูตรถนอมผิวรอบดวงตา ต้มชาเขียวกับน้ำเดือด แล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่ม นำมาวางบริเวณเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดร่องรอยความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา และยังลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะนุ่มนวลและดูสดชื่นขึ้น
-
สูตรลดน้ำหนัก ดื่มชาเขียววันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและและไขมันของร่างกายได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น