วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้ำคลอโรฟิลล์

            น้ำคลอโรฟิลล์

ประโยชน์ของน้ำคลอโรฟิลล์
น้ำคลอโรฟิลล์ เป็นเครื่องดื่มสีเขียวเพื่อสุขภาพ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกผลิตจากสหรัฐอเมริกา มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน....

คลอโรฟิลล์ คือโลหิตของพืช มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสาร ต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกายของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกบิลในเม็ดเลือด คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟ่า (Alfalfa)

ประโยชน์ คือ ช่วยในการชำระล้าง ขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย / รักษาสมดุล/ บำรุงรักษา คือเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดง ช่วยเสริมบำรุงสุขภาพได้ดีขึ้น

1.ระบบเลือด บำรุงเลือด ล้างพิษ ทำลายอนุมูลอิสระ ในเม็ดเลือด แก้โรคโลหิตจาง และลดความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีอันตรายกับผู้ที่มีความดันเลือด ปกติ

2.ระบบทางเดินอาหาร คลอโรฟิลล์ล้างพิษโดยตรงในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก สมานแผลในกระเพาะอาการกระตุ้นเนื้อเยื่อให้ฟื้นตัว

3.บำรุงปาก ฟัน ระงับกลิ่นปาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการโรค เหงือก อักเสบ

4. รักษาแผลต่าง ๆ คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ ฟื้นฟู เนื้อเยื่อ ของแผลทุกชนิดทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทั้งแผลเรื้อรัง แผลเป็นหนอง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลหายช้าหรือหายยากเช่นโรคเบาหวาน

5. ระงับกลิ่น กลิ่นเหม็นจากแผลเรื้อรัง หรือโรคแผลในช่องปาก จะหมดไปทันทีที่แผลสัมผัสกับคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ กลิ่นอุจจาระที่รุนแรง การผายลม หรือกลิ่นตัวที่มีกลิ่นแรงมาก การดื่มคลอโรฟิลล์จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

6. ควบคุมสมดุลของแคลเซียม ใครที่บริโภคเนื้อมากเกินไป จะขาดความสมดุลของธาตุแคลเซียม จะทำให้ป่วยเป็นโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคกระดูกผุ โรคหัวใจ โรคกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง โรคเลือดไม่แข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ประจำเดือนผิดปกติ คลอโรฟิลล์จะช่วยควบคุมสมดุลของแคลเซียมในร่างกายได้ดี

7. ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่อากาศและอาหารเป็นพิษ โดยการสะสมติดต่อกันเป็นระยะ เวลานาน ทุกวันนี้จึงเจ็บป่วยกันบ่อยด้วยโรคหวัด น้ำมูกไหล เจ็บคอ ช่องหูอักเสบ ท้องเสีย ท้องผูกบ่อย ฯลฯ

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานคลอโรฟิลล์กัน จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง


สวัสดีค่ะ ยุคสมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีสุขภาพแข็งแรงด้วยกันทั้งนั้น เพราะจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ ซึ่งปลายปีที่ผ่านมาก็มีข่าวที่เรียกว่าดึงดูดความสนใจประชาชนอย่างเราได้มากทีเดียว นั่นก็คือข่าวของดาราสาวทั้งหลายที่ดื่มเครื่องดื่มสุขภาพนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีชื่อที่รู้จักกันทั่วไปภายหลังว่า “น้ำคลอโรฟิลล์” และสาเหตุที่ทำให้ทุกคนหันมาสนใจน้ำดื่มชนิดนี้ก็เนื่องจากว่าดาราเหล่านี้มีผลงานเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอยู่แล้ว ยิ่งดาราที่พวกเราชื่นชอบสวยหล่อขึ้นผิดหูผิดตาจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสินค้าตัวนี้จึงเพิ่มยอดการจำหน่ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ลึกลงไปแล้วจะมีสักกี่คนที่รู้ถึงประโยชน์หรือสรรพคุณของน้ำดื่มชนิดนี้จริงๆ ดังนั้นในวันนี้จึงอยากนำเสนอข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้กับท่านผู้ฟังได้ทราบกัน



“คลอโรฟิลล์” ชื่อนี้ที่ใครหลายๆ คนคุ้นหูกับลักษณะของสารสีเขียวที่เป็นส่วนประกอบของพืชผักใบเขียวทุกชนิด รวมถึง “อัลฟัลฟ่า (Alfalfa)” พืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มีคลอโรฟิลล์เป็นองค์ประกอบและผู้ผลิตนิยมนำมาสกัดจนได้เป็นคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปผงพร้อมชงดื่ม ต้นอัลฟัลฟ่าจัดเป็นพืชตระกูลถั่ว เติบโตได้ในแทบทุกสภาพอากาศทั่วโลก มีระบบรากที่สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงทำให้หลายคนคิดว่าต้องมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่าพืชชนิดอื่น แต่ความเป็นจริงคนกับพืชก็มีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และยังจัดเป็นสิ่งมีชีวิตคนละกลุ่มกันด้วย ดังนั้นจะพูดว่าคนสามารถนำธาตุอาหารจากพืชไปใช้ได้ทั้งหมดคงไม่จริง เพราะแร่ธาตุบางอย่างพืชจำเป็นต้องใช้แต่กลับไม่จำเป็นสำหรับคน และสำหรับเหตุผลที่ผู้ขายใช้อ้างความจำเป็นที่เราควรบริโภคเครื่องดื่มชนิดนี้ก็คือ “การบริโภคผัก-ผลไม้สดโดยตรงอาจไม่สะดวก และที่เลวร้ายกว่านั้นคือผักผลไม้สดทั่วไปมักปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นพิษ” จากคำพูดนี้เองทำให้เราหลายๆ คนรู้สึกคล้อยตามและอยากซื้อหามาบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่เราจะได้ยินการโฆษณาสินค้าว่า การดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ที่ผ่านกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน สามารถทดแทนการรับประทานพืชผักสดปริมาณมากๆได้ โดยมีประโยชน์หลักคือ คุณสมบัติในการชำระล้างขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย รวมทั้งรักษาสมดุลและบำรุงรักษา คือช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดงให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังระบุว่าสามารถลดความดันโลหิต รักษาแผลต่างๆตั้งแต่แผลขนาดเล็กไปจนถึงแผลเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ ช่วยป้องกันการขาดแคลเซียม หรือแม้กระทั่งการดับกลิ่นปาก ซึ่งข้อมูลที่กล่าวมานี้เป็นเพียงกลยุทธ์ที่ใช้สำหรับการขายสินค้าเท่านั้น เนื่องจากคุณสมบัติดังกล่าวยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยมารองรับทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการออกฤทธิ์ ดังนั้นจึงมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งพยายามชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ว่า


1. สารสกัดคลอโรฟิลล์ไม่สามารถนำไปใช้ในสร้างเม็ดเลือดแดงได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เนื่องจากมีองค์ประกอบของโครงสร้างและหน้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ช่วยขนส่งออกซิเจนรวมทั้งสารอาหารบางอย่างให้กับร่างกาย แต่คลอโรฟิลล์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสงของพืชเท่านั้น เราลองคิดง่ายๆ ว่าถ้าร่างกายมนุษย์สามารถดูดซึมคลอโรฟิลล์ไปใช้ได้จริงก็คงทำให้เราสังเคราะห์แสงได้และมีสีเขียวเหมือนพืชนั่นเอง


2. คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปผงไม่ใช่สารธรรมชาติ 100% เพราะแท้จริงแล้วต้องมีการผ่านกระบวนการผลิตที่นำพืชมาสกัดและทำปฏิกริยาเคมีกับสารอื่นๆ เช่น อะซีโตน (acetone) หรือ เฮกเซน (hexane) จนได้สารใหม่ที่ไม่ใช่คลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติ เนื่องจากคลอโรฟิลล์จะเสียคุณสมบัติเดิมไปเมื่อถูกสกัดด้วยตัวทำละลาย


3. คลอโรฟิลล์สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้จริง แต่ประสิทธิภาพนั้นน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับยาฆ่าเชื้อที่อ่อนที่สุด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่น้ำคลอโรฟิลล์สามารถรักษาบาดแผลเรื้อรังได้


4. น้ำคลอโรฟิลล์ไม่สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของระบบขับถ่ายได้ หรือที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าช่วยล้างสารพิษ (detox) นั้น เพราะความจริงคลอโรฟิลล์ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นใยหรือไฟเบอร์ (fiber) ดังนั้นจึงไม่สามารถช่วยทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระได้มากขึ้นแต่อย่างใด



จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดน่าจะทำให้ท่านผู้ฟังได้หยุดคิดและพิจารณาถึงประโยชน์ที่ได้รับจากน้ำคลอโรฟิลล์ว่าจำเป็นกับตัวเรามากหรือน้อยเพียงใด กับการที่เราต้องซื้อหามาบริโภคในราคาที่แพงเมื่อเทียบกับการบริโภคพืชผักที่มีอยู่ตามฤดูกาลและมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า และถ้ายังกลัวเรื่องสารเคมีตกค้าง ก็มีทางออกง่ายๆ ด้วยการเลือกบริโภคจากผลผลิตที่ระบุว่าเป็นพืชผักปลอดสารพิษได้ ซึ่งน่าจะทำให้เราได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังมีคำเตือนจากองค์การอาหารและยาหรือ อย. เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่า ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถรักษาโรคได้ เช่น อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยเฉพาะกรณีผลิตภัณฑ์เดียวอวดอ้างสรรพคุณมากมาย ตามที่ผู้โฆษณาพยายามโฆษณาชักจูงเพื่อจะได้จำหน่ายในราคาสูง เนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยหรือทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์และได้มาตรฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีประโยชน์ในทางบำบัด บรรเทา รักษาหรือป้องกัน โรคได้ และ อย. ไม่เคยอนุญาตหรือรับรองสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถรักษาโรคหรือมีคุณประโยชน์ในทางยาด้วย ดังนั้นถ้าเราต้องการสุขภาพที่ดีโดยไม่ต้องมากังวลภายหลังว่าสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปจะมีผลไม่ดีในภายหลังรึเปล่านั้น ก็ขอแนะนำท่านผู้ฟังว่าควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ แป้งหรือข้าว เนื้อสัตว์ ไขมันจากพืช ผักและผลไม้ ซึ่งควรรับประทานให้พอดีกันระหว่างผักและเนื้อสัตว์ และที่สำคัญควรรับประทานอาหารให้มีความหลากหลาย ไม่รับประทานอาหารชนิดเดียวซ้ำกันหลายวัน เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารบางประเภทได้ ถ้าทุกคนสามารถปฏิบัติตัวได้ตามนี้แล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็คงจะไม่ถามหา และอย่าลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ เพราะจะช่วยให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของเราดีขึ้น ไม่มีไขมันส่วนเกินมาสะสมให้รบกวนใจเราในอนาคต


เอกสารอ้างอิง


- กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค เดือนกุมภาพันธ์ ข่าวแจก/ปีงบประมาณ 2550
- บันเทิงไทยรัฐ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549
- พิเชษฐ โฆษกิจจาวุฒิ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 14 มีนาคม 2550




ความจริง ..เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์



ความจริง!! เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์ ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์ มาพักใหญ่ๆ สงสัยอยู่ครามครัน ว่ามันอะไรกัน เพราะเรียนมาทางนี้ (ที่เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์) โดยเฉพาะ จากครั้งแรก เดินงานขายของ ก็มีคนขายยื่นใบปลิว โฆษณาน้ำคลอโรฟิลล์มาให้ แถมพูดถึงสรรพคุณอันหลากหลาย ไอ้เราคนฟังก็ ได้แต่อึ้ง โอ้ เป็นไปได้ขนาดนี้กันเลยเหรอ ครั้งต่อๆ มา ห่างกันเป็นเดือน กระแสคลอโรฟิลล์ดังจนฉุดไม่อยู่ สรรพคุณมากมายยังกะกินแล้ว ร่างกายจะแสนสะอาดซะงั้นล่ะ อดรนทนไม่ไหว เขียนสักหน่อยเป็นไร ไหน ๆ ก็เรียนมาทางที่เกี่ยวกับพืชแล้ว ข้อมูลแรก คือการโทรถามเพื่อนที่เป็นหมอ ทางการแพทย์เขามองยังไงเรื่องน้ำคลอโรฟิลล์ จะเขียนอะไรก็ให้มันมีข้อมูลยืนยันได้สักหน่อย เอาล่ะ มาฟังที่เขาโฆษณากันก่อนดีกว่า (ขอยกตัวอย่างมาให้ดู) ขอย้ำ ว่านี่คือการโฆษณา!!!!ประวัติการค้นคว้า ในปี 1961 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Melvin Calvin ได้รับรางวัลโนเบล ในการค้นคว้าความสัมพันธ์ของคลอโรฟิลล์ในใบพืช มีส่วนสำคัญในขบวนการสังเคราะห์แสง ในปี 1915 Dr.Richard Wilstatter ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ จากนั้นเพียง 15 ปี Dr.Hans Fisher ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของอะตอมเม็ดเลือดแดง (Heme) มีโครงสร้างเหมือนคลอโรฟิลล์ จากงานวิจัยสรุปได้ว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีม ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมาขึ้น พลิกไปอีกหน้า ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลในร่างกาย ให้ความสดชื่น ผิวพรรณสดใน ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ แล้วคราวนี้เรามาดู ความจริงเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ Richard Willstaetter ค้นพบเม็ดสีหลายชนิดในพืชรวมทั้งสีแดงในเลือดของมนุษย์ จากการริเริ่มงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี คศ 1915 ซึ่งนับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ จากนั้น Hans Fischer นักชีวเคมีชาวเยอรมัน พบว่า คลอโรฟิล์ดเป็นพิคเมนท์สีเขียวที่พบในพืช และเฮมินเป็นพิคเมนท์สีแดงที่อยู่ในฮีโมโกบิลในเม็ดเลือดแดงของมนุษย์ จากผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับรับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี คศ 1930 แต่เสียชีวิตก่อนที่จะสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ ปี คศ 1960 Robert Burns Woodward สามารถสังเคราะห์คลอโรฟิลล์เป็นผลสำเร็จ ต่อจากนั้นมา จนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความรู้เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์และบทบาทที่สำคัญในพืช หากต้องการค้นเพิ่มเติม สามารถค้นได้จากเวบไซต์ของผู้ที่ได้รับราววัลโนเบล (ซึ่งไม่รวมงานวิจัยอีกมหาศาลที่ นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้รับรางวัลโนเบลได้เผยแพร่ผลงานไว้)Reference: Chloroplast model from http://www.daviddarling.info/encyclopedia/C/chloroplasts.htmlคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นเม็ดสีที่พบในพืช ผัก สาหร่ายสีเขียว ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นน้ำตาลกลูโคส โดยต้องทำงานร่วมกับโปรตีนชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในพืช ปกติคลอโรฟิลล์จะอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า คลอโรพลาส (chloroplast) คลอโรฟิลล์มีโครงสร้างโมเลกุลของ porphyrin ซึ่งคล้ายกับ heme ใน hemoglobin ในเลือดของมนุษย์ แต่ก็เป็นเพียงความคล้ายคลึงกันของโมเลกุล โดยอะตอมกลางของคลอโรฟิล์ดจะเป็นแมกนีเซียม ส่วนอะตอมกลางของ heme เป็นเหล็ก คลอโรฟิล์ดจะทำหน้าที่ได้ก็ต้องอยู่ในพืชที่มีชีวิตและทำงานร่วมกับโปรตีนอื่นๆที่อยู่ในเซลล์พืช ทำให้มนุษย์และสัตว์ที่บริโภคผักสีเขียวได้รับสารอาหารแมกนีเซียมไปด้วย และไม่ต้องสงสยว่าเมื่อดื่มคลอโรฟิล์ดเข้าไปจะทำให้คุณมีความสามารถในการสังเคราะห์แสงได้ เพียงกรดในกระเพาะอาหารก็เพียงพอจะทำให้คลอโรฟิล์ดถูกย่อยไปแล้ว เอาล่ะ มาดูแต่ละประเด็นกัน ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย การวิจัยทางทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์แค่บอกว่าโมเลกุลคล้ายกัน ไม่ได้บอกว่าทำหน้าที่เหมือนกัน เหมือนกับ การที่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าเหล็กเป็นอะตอมกลางของเม็ดเลือดแดง ก็ไม่ใช่ว่าเราจะกินเหล็ก โดยการแทะ แท่งเหล็กได้ จริงไม๊ ในส่วนร่างกายมนุษย์ เม็ดเลือดแดงถูกสร้างจากไขกระดูก ดังนั้นการที่กินน้ำคลอโรฟิลล์เข้าไป มันอยู่ในระบบย่อยอาหาร สารอาหารที่ถูกย่อยจะต้องถูกย่อยแล้วดูดซึมผ่านกระแสเลือด ในรูปของน้ำตาลและแร่ธาตุ ส่วนกระแสเลือดเป็นอีกระบบนึง ซึ่งในคลอโรฟิลล์ ไม่มีโมเลกุลของเหล็ก การเพิ่มปริมาณการสร้างเม็ดเลือด ทำได้โดยกินธาตุเหล็ก สังเกตได้จาก เมื่อเราบริจาคเลือด ทางสภากาชาดไทย จะให้ซองวิตามินเม็ดสีแดงๆ ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ (สภากาชาดไทย ไม่ได้แนะนำให้คนบริจาคเลือดกินน้ำคลอโรฟิลล์นี่นา)ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ อันนี้ก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ปกติถ้าร่างกายแข็งแรง ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายจะมีสมดุลของตัวเองอยู่แล้ว การนำพาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เป็นหน้าที่ของปอด และเม็ดเลือดแดง ดังนั้นดูจากความเป็นไปได้ คลอโรฟิลล์ก็ยังไม่เกี่ยวกับขบวนการนี้อยู่ดี ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ ไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ให้ความสดชื่น ผิวพรรณสดใส ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น หลาย ๆ ประเด็นตรงนี้ ขออธิบายแบบรวมยอด เท่าที่พอทราบ น้ำคลอโรฟิลล์ที่เขาขายจะเน้นว่าให้ดื่มเป็นจำนวนเท่าไรต่อวัน เช่น 1-2 ลิตร ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน ทางสาธารณสุขก็บอกไว้จนเป็นที่รู้กัน ว่าควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว ซึ่งน้ำ ดื่มเท่าไร ก็ช่วยขจัดพิษและล้าง ทำความสะอาดร่างกายได้มาก ทำให้ระบบขับถ่ายไหลเวียนดี แน่นอนว่าทำให้สมดุลของร่างกายดีขึ้น แล้วร่างกายจะสดชื่นขึ้นไหม นึกถึงเวลาร้อนๆ แล้วเราได้ดื่มน้ำเย็นๆ มันจะสดชื่นแค่ไหน เมื่อระบบขับถ่ายดี ทั้งทางผิวหนังและทางลำไส้ แน่นอนว่าร่างกายจะมีระบบที่ดี สุขภาพที่ดี ย่อมแสดงออกมาทางผิวหนัง และร่างกาย เหมือนที่เคยได้ยินกันว่า You are what you eat มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ ไม่เคยมีรายงานว่า คลอโรฟิลล์เป็น antibacteria และเสริมภูมิต่างทานให้กับร่างกาย แต่หากมองในมุมที่ว่า เมื่อร่างกายแข็งแรง ทุกระบบของร่างกายทำงานอย่างสมดุลและสอดคล้องกัน ร่างกายย่อมมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา และนั่นหมายถึง ร่างกายมีความสามารถที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีด้วย เอาล่ะ อ่านมากันจนตาแฉะ ไม่รุจะงงไหม แต่คนเขียนเริ่มตาลาย หากจะหาน้ำคลอโรฟิลล์กินล่ะก็ น้ำใบบัวบกก็มีค่ะ ทำกินเองง่ายๆ ผักสด ผลไม้สด สีเขียวๆ ได้ใยอาหารและวิตามินอีกด้วย สรุปว่ารักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย และรับประทานผักและผลไม้เยอะ ๆ ร่างกายก็จะแข็งแรงค่ะ ที่สำคัญ จิตใจที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง ถ้าจิตใจดี ร่างกายดี คงไม่ต้องถามหายาวิเศษจากไหน







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น