วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มารู้จัก แอล-คาร์นิทีน

   มารู้จัก แอล-คาร์นิทีน



อีกหนึ่งสารอาหารที่เราสามารถหาทานเองได้ในทุกวัน เหมือนสารคาเทชินในชาเขียว และสารกลูตาไธโอนในอาหารจำพวกโปรตีน (อาหารประเภทโปรตีน มีสารประกอบที่ร่างกายสามารถนำมาสร้าง กลูตาไธโอน ให้กับร่างกายเราได้
แล้วแอล-คาร์นิทีนมาจากไหน
แอล-คาร์นิทีน ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเรา โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน 2 ตัว คือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนีน (methionine) แอล-คาร์นิทีนในร่างกายถูกนำใช้ไปในหน้าที่ต่างๆ หลายอย่าง
เช่น เข้าไปช่วยเพิ่มกระบวนการใช้ไขมัน โดยการขนส่งกรดไขมัน เข้าไปในไมโตรคอนเดรีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสร้างพลังงานของเซลล์ หรือจะให้เข้าใจยิ่งขึ้น ก็คือ แอล-คาร์นิทีนช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง
โดยปกติแอล-คาร์นิทีน จะถูกสร้างขึ้นภายในตับและไต และนำไปเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย เช่น กล้ามเนื้อตามแขน ขา นอกจากนี้ยังถูกลำเลียงไปเก็บไว้ในหัวใจ สมอง และสเปิร์ม จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงถูกสอนมาให้ทานอาหารประเภทโปรตีน ก็เพื่อให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ นั่นเอง

แหล่ง แอล-คาร์นิทีน อยู่ที่ไหน
ในอาหารเราจะพบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผลวะโอคาโด ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วหมัก

เราจะได้อะไรจาก แอล-คาร์นิทีน นอกเหนือจากพลังงาน 1.แอล-คาร์นีทีนทำให้เราแก่ช้าลง เพราะเซลล์ในร่างกายของเราทุกๆ เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์จากหัวใจ หรือเซลล์จากที่อื่นๆ ในร่างกาย ทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อ ได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด และแอล-คาร์นิทีนนี่เองที่เข้าไปช่วยทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น 2.ช่วยลดระดับไตรกลีเซอรไรด์ และเพิ่มระดับ HDL หรือไขมันดี ในเลือดให้เพิ่มขึ้น 3.ป้องกันโรคหัวใจ สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว 4.ช่วยในการลดน้ำหนัก ถ้าใช้ร่วมกับวิธีการลดอาหารจำพวกแป้งลงในอาหารแต่ละมื้อ 5.ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายใดๆ กับร่างกาย 6.ช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ แอล-คาร์นิทีน ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานดีขึ้น ลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความเครียด ลดความเครียดได้ และช่วยในการทำงานของตับ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมของเราด้วย
แอล-คาร์นิทีน ช่วยเราลดน้ำหนักอย่างไร
อย่างที่เรารู้กันว่า หน้าที่หลักของ แอล-คาร์นิทีน จะช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ เข้าไปใช้ในเซลล์ต่างๆ ซึ่งในจุดนี้เองที่จะทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดังนั้นหากร่างกายขาดสารแอล-คาร์นิทีน หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความอ้วน และการสะสมของไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และนำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย ซึมและเหนื่อยง่าย
มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ แอล-คาร์นิทีน ในวงการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ ซึ่งหลังจากมีการใช้ แอล-คาร์นิทีน ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือการใช้ในนักกีฬา ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรงสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่งมาราธอน รวมทั้งมีการใช้ แอล-คาร์นิทีน เพื่อช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทีมคณะนักวิจัยได้ทดลองนำเอาแอล-คาร์นิทีน มาช่วยในการลดน้ำหนัก โดยแบ่งวัยรุ่นที่อ้วนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทาน แอล-คาร์นิทีน ขนาด 2 g/วัน อีกกลุ่มได้ยาหลอก โดยทั้งสองกลุ่มถูกจำกัดอาหารให้มีแคลอรี่เท่าๆกัน และมีการออกกำลังกายขนาดปานกลางเหมือนกัน
หลังจากนั้น 3 เดือนต่อมาจึงทำการวัดน้ำหนักตัวอีกครั้ง พบว่ากลุ่มที่ได้รับ แอล-คาร์นิทีน น้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 11 ปอนด์ ขณะที่อีกกลุ่มลดลงเฉลี่ยไม่ถึง 2 ปอนด์ และปริมาณไขมันในกระแสเลือดก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งบนโลกนี้ หากมีประโยชน์ ก็ต้องมีโทษด้วยเช่นกัน คนที่ทานมังสวิรัติอาจจะเกิดภาวะการขาดแอล-คาร์นิทีนได้ในบางครั้ง หรือในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมของระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงในกรณีที่มีผู้ป่วยที่ขาดแอล-คาร์นิทีน (ซึ่งพบน้อยมาก) ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของยีน หรือตับ หรือไต หรือกินอาหารที่มีกรดอะมิโนไลซีน และเมไทโอนีนน้อย ก็จะมีอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก เจ็บกล้ามเนื้อ แขนขาล้าอ่อนแรง ความดันเลือดต่ำ และอาจจะมีอาการมึนงงสับสนร่วมด้วย เป็นต้น
อีกทั้งสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารเสริมที่มีแอล-คาร์นิทีน ต้องระวังเพราะอาจจะมีผลข้างเคียงต่างๆ เกิดขึ้นกับร่างกายได้ และอาจจะเข้าทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ที่กินร่วมกัน ดังนั้น ในการใช้แต่ละครั้ง ควรต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์จะปลอดภัยกว่า
นอกจากนี้มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด 5 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจจะพบได้บ้างก็เช่นมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัว และเกิดมีผื่นแดง และในนักกีฬาหรือคนที่กินแอล-คาร์นิทีนเสริมสำหรับการเล่นกีฬาเพื่อช่วยในการสลายไขมันและช่วยทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น ก็ควรจะต้องหยุดใช้เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักบ้างอย่างน้อยเดือนละ 1 อาทิตย์ คือไม่ควรใช้ต่อเนื่องติดต่อกันไปเป็นเวลานานๆ
และสำหรับคนที่มีอาการแพ้ต่ออาหารโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริมแอล-คาร์นิทีนเป็นอันขาด รวมไปถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 2 ขวบ และสตรีมีครรภ์ ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าไม่จำเป็น หรือใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

รู้กันไปแล้วสำหรับสารอาหารสำคัญตัวนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของการรับประทานอาหาร คือทานให้หลากหลาย และครบทุกหมู่ ปัญหาการขาดสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งก็จะไม่เกิดขึ้น และการทานอาหารเสริมก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป หากใส่ใจร่างกายตัวเองอีกสักนิด สุขภาพร่างกายก็จะดีขึ้นด้วย


กลูตาไธโอน ชื่อนี้มีความหมาย


ขึ้นชื่อว่าความสวยความงาม ย่อมเป็นที่สนอกสนใจของสาว ๆ อยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีอะไรที่มาช่วยทำให้ผู้หญิงเราสวยขึ้นแล้วล่ะก็ เป็นอันต้องตาลุกวาวเรื่อยไป

ก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวฮิตกินวิตามินเสริมให้ผิวขาวสวยใส มาตอนนี้กระแสของการทำให้ผิวขาวสวยได้เร็วยิ่งกว่าการกิน นั่นคือการฉีดสารที่ทำให้ผิวเราขาวขึ้น สารที่ว่านั้น ก็คือ กลูตาไธโอนที่เราจะพูดถึงวันนี้นี่เอง
กลูตาไธโอน สารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด สารกลูตาไธโอนเกี่ยวข้องกับสารต้านอนุมูลอิสระอย่างไร ก่อนต้องต้องขออธิบายถึงลักษณะทางเคมีและหน้าที่สำคัญของเจ้าสารชนิดนี้เสียก่อน

กลูตาไธโอนเป็น สารประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 โมเลกุล ที่รู้จักกันว่า ไตรเพปไทด์ (Tripeptide) ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid ทำหน้าที่หลัก คือ การสร้างเอนไซม์เพื่อกำจัดสารพิษ และช่วยตับขับสารพิษในร่างกายให้ดีขึ้น ทำหน้าที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ นั่นคือการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ อย่าง เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ที่จะเข้าสู่ร่างกายเราด้วย


กลูตาไธโอนมาจากไหน

หลายคนอาจจะนึกไปถึงการกินยา หรือการฉีด แต่จริง ๆ แล้วสารกลูตาไธโอนนั้น ได้มาจากธรรมชาติ อาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น นม, ไข่, เนื้อสัตว์อย่างปลา ผักผลไม้อย่าง มะเขือเทศ, ผักบลอคโคลี, หน่อไม้ผรั่ง, ผักโขม, สตอเบอรี่, ส้ม หรือเม็ดถั่วอย่างวอลนัท ต่างมีสาร กลูตาไธโอนอยู่ในตัว นอกจากนี้ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูตาไธโอนได้ โดยมีสารหลายชนิดมาประกอบ ได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine3, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2, Vitamin C และ Selenium

กลูตาไธโอนทำให้ผิวขาวได้จริงหรือ

สารกลูตาไธโอนมีส่วนช่วยให้ผิวขาวได้จริง โดยกลูตาไธโอนจะไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นตัวการสร้างยูเมลานิน (เมลานินสีคล้ำ) และไปกระตุ้นการสร้างฟีโอเมลานิน (สีอ่อนขาวชมพู) ให้มากขึ้น ดังนั้นจึงถือได้ว่า กระบวนการดังกล่าวเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิว และเป็นการซ่อมแซมผิวหนังเมื่อมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมากกว่าปกติ ลองสังเกตคนผิวขาวที่ออกแดด ผิวจะคล้ำขึ้น แต่ในระยะเวลาไม่นานสีผิวที่เคยคล้ำก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม เนื่องด้วยกระบวนการดังกล่าวนั่นเอง

กลูตาไธโอน สุขภาพดี ชีวิตยืนยาว

กลูตาไธโอน ไม่ได้มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างความขาวให้ผิวเราเท่านั้น แต่มีส่วนทำให้กระบวนการทำงานในระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเราทำงานได้ดีขึ้น คุณสมบัติหลัก ๆ ของกลูตาไธโอน มีส่วนในการป้องการการเกิดปฏิกิริยาออกซิเจน (ออกซิเดชั่น) ระหว่างการย่อยสลาย และเมื่อกลูตาไธโอนทำงานร่วมกับวิตามินซี จะทำให้ร่างกายดูดซึมสารได้ดียิ่งขึ้น นำไปช่วยในกระบวนการซ่อมแซม ฟื้นฟู ร่างกายในส่วนต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดอีกหนึ่งชนิด ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารกลูตาไธโอนอยู่เสมอ จะช่วยป้องกับความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ลดโอกาสการเกิดโรคต่าง ๆ ทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคไต โรคตับ เป็นต้น

นอกจากนี้สารกลูตาไธโอน ยังมีประโยชน์ในทางการแพทย์ ช่วยในการรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทบกพร่อง อย่างโรคพาร์กินสัน หรือโรคอัลไซเมอร์ หรือในบางรายที่มีปัญหาการขาดกลูตาไธโอน แพทย์อาจให้เสริมเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้


จำเป็นต้องเสริมกลูตาไธโอนหรือไม่

ไม่ว่าจะกินหรือจะฉีด ก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวขึ้น หรือทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการฉีดให้ผิวขาวนั้น ยังไม่มีผลการยืนยันที่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง การทานก็เช่นเดียวกัน กลูตาไธโอนที่ผลิตขึ้นเป็นเม็ดแคปซูล ไม่สามารถย่อยและดูดซึมในกระเพาะได้ ดังนั้น การรับประทานจึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย ร่างกายจะสามารถใช้ประโยชน์จากการกลูตาไธโอนก็ต่อเมื่อมีการย่อยอาหารและสังเคราะห์สารนี้ขึ้นมาในร่างกายเราเองเท่านั้น


แต่ถ้าอยากผิวขาวสุขภาพดีจริง ๆ เพียงแค่เราตั้งใจดูแลตัวเอง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักผลไม้มาก ๆ และหลากหลาย หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อสารพิษให้กับร่างกายเราอย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติดต่าง ๆ ที่อาจทำลายเซลล์ในร่างกายของเรา และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากผิวจะขาวสวยใสสมใจแล้ว สุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็ดีด้วย











.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น